ปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องแวะไปดูกิริยาท่าที ดูความเคลื่อนไหวของคุณพี่ญี่ปุ่น-ยุ่นปี่สักหน่อยแล้วล่ะทั่น!!! เพราะโดยการแสดงออกของผู้นำประเทศ อย่างท่านนายกรัฐมนตรี “ฟูมิโอะ คิชิดะ” (Fumio Kishida) หลังๆ นี้ คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า ช่างเป็นอะไรที่น่า “เซ-มา-กู-เตะ” เสียเหลือเกิน คือออกจะก่อให้เกิดความเปรี้ยวมือ เปรี้ยวตีน ไม่ว่าต่อชาวเอเชีย หรือชาวโลก หรือค่อนข้างน่าเกลียด น่าทุเรศ น่าผะอืดผะอมมิใช่น้อย โดยเฉพาะสำหรับใครก็ตามที่ยังพอจดจำเรื่องราวในอดีต จดจำเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งอุบัติขึ้นมาเมื่อแค่ไม่กี่สิบปีนี่เอง หรือแค่ช่วง “รุ่น-ต่อ-รุ่น” อาจถึงขั้นต้องอ้าปาก ตาค้าง แทบไม่น่าเชื่อแต่ก็คงต้องเชื่อจนได้ ถึงการ“พลิกหน้ามือเป็นหลังตีน” ของพวกนักดาบซามูไร หรือพวกบูชิโดทั้งหลาย...
โดยเฉพาะช่วงระหว่างการเดินทางไปเยือนประเทศรวยๆ ของพวกฝรั่งมังค่า หรือบรรดาพวก “ผิวขาว” (White Man) ที่มีพวก “ผิวเหลือง” อย่างญี่ปุ่นเป็นแค่ส่วนประกอบเล็กๆ น้อยๆ ก่อนจะจัดประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศ “G7” ณ เมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า หรือในช่วงเดือนพฤษภาคมปีนี้เป็นลำดับต่อไป โดยเมื่อช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา (13 ม.ค.) ก็ได้ไปจับมือ-ถือแขน กับคุณปู่ “โจ ซึมเซา” ผู้นำอเมริกา ก่อนออกมาแถลงข่าวที่ทำให้ไม่ว่าชาวเอเชีย หรือชาวโลก อดที่จะขนหัวลุก-ขนคอตั้ง ตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ ไม่ว่าการกระตุ้นบรรดากลุ่มประเทศ “G7” ให้ร่วมมือกันต่อต้านรัสเซีย ส่งเสียงเตือนบรรดาชาวเอเชียทั้งหลายให้ระแวดระวังต่อการผงาดขึ้นมาของมหาอำนาจคู่แข่งของคุณพ่ออเมริกา อย่างคุณพี่จีน ว่าอาจทำให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกกลายเป็น “ยูเครน 2” ได้ทุกเมื่อ แสดงอาการหวาดระแวงต่อหมีขาวรัสเซียว่าอาจงัดขีปนาวุธนิวเคลียร์ออกมาใช้ จนถึงกับกลายเป็น “เงื่อนไข-ข้ออ้าง” ให้ญี่ปุ่นต้องหาทางเพิ่ม “งบประมาณทางทหาร” ไปอีกเท่าตัว หรือเพิ่มจาก 1 เปอร์เซ็นต์เป็น 2 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีภายในระยะอีก 5 ปีข้างหน้า ตกราวๆ 43 ล้านล้านเยน (318,000 ล้านดอลลาร์) หรือกว่าสิบๆ ล้านล้านบาทเอาเลยถึงขั้นนั้น รวมทั้งเพิ่มทหารอเมริกันเข้าไปอีก ณ ฐานทัพโอกินาวา ไปจนการตระเตรียมขีปนาวุธพิสัยกลาง-พิสัยไกล ที่สามารถยิงถล่มเข้าไปในประเทศจีน ประเทศรัสเซีย ยันไปถึงเกาหลีเหนือเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ อีกทั้งยังเชิญชวนให้พวก “White Man” ทั้งหลายร่วมต่อต้านชาวเอเชีย หรือพวกผิวเหลืองด้วยกันเอง ไม่ว่าจีนตลอดไปจนรัสเซีย ด้วยเหตุเพราะ “ความมั่นคงของทั้งสองภูมิภาคมิอาจแยกออกจากกันได้” หรือเพื่อช่วยให้เกิดเสรีภาพ-การเปิดกว้างในอินโด-แปซิฟิก (Free and open Indo-Pacific) ตามแนวคิดทางยุทธศาสตร์ของคุณพ่ออเมริกา ที่หวังจะถ่วง จะรั้ง จะหาทางปิดล้อมมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนและรัสเซียให้จงได้ ฯลฯ ฯลฯ นั่นแล!!!
นี่...อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้ มันเลยช่างน่า “เซ-มา-กู-เตะ” เอาจริงๆ นั่นแหละ เพราะถ้าลองย้อนประวัติศาสตร์กลับไปสักเมื่อกว่า 80 ปีที่แล้ว หรือแค่ช่วงระหว่าง “รุ่น-ต่อ-รุ่น” บรรดาโคตรเหง้าศักราช บรรดาบรรพบุรุษหรือ “วีรบุรุษ” ของพวกนักรบซามูไรเหล่านี้ ไม่ว่าไล่มาตั้งแต่สงครามกลางเมืองในญี่ปุ่น (Boshin War) เมื่อช่วงปี ค.ศ. 1868-1869 สงครามจีน-ญี่ปุ่น (Sino-Japanese Wars) ช่วงปี ค.ศ. 1894-1895 ไปจนสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือสงครามอินโดจีนเมื่อปี ค.ศ. 1946-1954 ที่ถูกนำมาเคารพ-สักการะอยู่ในศาลเจ้า “ยาสุคุนิ” (Yasukuni Shrine) จนตราบเท่าทุกวันนี้ หรือสถานที่ที่บรรดานักการเมืองญี่ปุ่นในแต่ละราย ตะเกียกตะกายดิ้นรนไปแสดงความเคารพ ความรำลึกนึกถึงมิเว้นวาย ไม่ว่าจะถูกประณามจากผู้ที่เคยตกเป็น “เหยื่อสงคราม” หรือเป็น “เหยื่อกองทัพญี่ปุ่น” มาโดยตลอด แต่สำหรับบรรดาบรรพบุรุษ-วีรบุรุษของนักรบซามูไรยุคนั้น กลับดูจะมีกิริยาท่าที ผิดแผกแตกต่างไปจากนักการเมืองญี่ปุ่นยุคนี้ แบบชนิดคนละเรื่อง-คนละม้วน หรือแบบ “หน้ามือกับหลังตีน” เอาเลยก็ว่าได้...
โดยเฉพาะยุคที่กองทัพญี่ปุ่นร่วมเปิดฉากสงครามโลกครั้งที่ 2 ในเอเชีย ด้วยการโจมตีฐานทัพเพิร์ล ฮาร์เบอร์ของอเมริกาเมื่อวันที่ 19 ธันวาคมปี ค.ศ. 1941 ก่อนที่จะบุกฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย รวมทั้งไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ฯลฯ ภายใต้การป่าวประกาศถึงเจตนารมณ์และจุดมุ่งหมายว่าเพื่อที่จะ “ปลดปล่อยเอเชีย” ออกจากการครอบงำ ควบคุมและบงการของบรรดาพวก “ผิวขาว” หรือพวก “White Man” ทั้งหลาย เพื่อรื้อฟื้น “แก่นแท้แห่งจิตวิญญาณของชาวเอเชีย” ให้พ้นไปจากการครอบงำโดย “อารยธรรมวัตถุนิยม” (Materialistic Civilization) ของชาวตะวันตก ที่ไม่ต่างอะไรไปจาก “ยาพิษ” สำหรับชาวตะวันออกทั้งมวล หรือเพื่อสร้างแนวป้องกันชาติเอเชียให้หลุดพ้นจากอิทธิพลการตกอยู่ใต้อาณานิคมของพวกฝรั่งมังค่าในแต่ละราย เพื่อนำไปสู่ “การพึ่งตนเองของชาวเอเชีย” (A Self-Sufficient bloc of Asian peoples) เพื่อร่วมแบ่งปันความรุ่งโรจน์ ความมั่งคั่ง ในหมู่ชาวเอเชียด้วยกันเอง (Asia for the Asiatic) หรือเพื่อนำไปสู่ “วงไพบูลย์ร่วมแห่งมหาเอเชียบูรพา” (The Greater East Asia Co-Prosperity Spere-GEACPS) อันเป็นไปตามแนวคิดริเริ่มของชาวญี่ปุ่นยุคนั้น ที่ถูกนำเสนอโดยอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ “นายฮาจิโร อาริตะ” (Hachiro Arita) นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1936-1940 เป็นต้นมา...
ด้วยเหตุนี้...ไม่ว่าใคร หรือประเทศหนึ่ง-ประเทศใด จะยินยอมพร้อมใจ หรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่ แต่ด้วยแสนยานุภาพทางทหารของพวกนักรบซามูไรยุคนั้น ทำให้บรรดาตัวแทนประเทศต่างๆ ในเอเชีย ไม่ว่า “Zhang Jinhui” จากแมนจูกัว “Wang Jingwei” แห่งรัฐบาลนานกิง “Ba Maw” จากพม่า “Chandra Bose” จากอินตะระเดีย “Jose P. Laurel” จากฟิลิปปินส์ รวมทั้ง “พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร” ที่ทรงยอมรับเป็นตัวแทนจากประเทศไทย เพราะผู้นำอย่าง “จอมพลป. พิบูลสงคราม” ที่จำต้องยอมเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น พยายามบ่ายเบี่ยง ปฏิเสธ ตีกรรเชียงหนีครั้งแล้ว ครั้งเล่า ต่างหนีไม่พ้นต้องถ่อไปร่วมประชุมกับอดีตผู้นำญี่ปุ่น นายกรัฐมนตรี “ฮิเดกิ โตโจ” (Hideki Tojo) ผู้ป่าวประกาศจะร่วมแบ่งปันความเจริญมั่งคั่ง สันติภาพ ความเป็นอิสระจากการครอบงำ การควบคุม บงการของพวกผิวขาว ตามอุดมการณ์ อุดมคติ“GEACPS” ที่มุ่งขยายปฏิบัติการทางทะเลของญี่ปุ่นไปทั่วทั้งมหาสมุทรอินเดีย และพร้อมกีดกัน-โดดเดี่ยวออสเตรเลียและโลกตะวันตก มิให้เข้ามาข้องแวะกับกิจการต่างๆ ในเอเชีย เพื่อนำไปสู่การสรรค์สร้าง “ระเบียบใหม่แห่งเอเชียตะวันออก” (New Order in East Asia) ชนิดไม่ต่างอะไรไปจาก “ลัทธิมอนโร” ของอเมริกาในยุคอดีตนั่นเอง...
แต่หลังจาก “ตดยังไม่ทันหายเหม็น” หรือหลังจากโดนคุณพ่ออเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูใส่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ สังหาร พร่าผลาญ ชาวญี่ปุ่นด้วยกันเองนับแสนๆ คน เด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ไปต่อหน้าต่อตา บาดเจ็บ ทุพพลภาพ เป็นโรคเรื้อรังอีกไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ระเบิดมหาประลัยดังกล่าว ญี่ปุ่นก็เตรียมยอมแพ้อยู่แล้ว แต่ด้วยความไม่คิดจะใส่ใจในชะตากรรมของมวลมนุษยชาติ หรือด้วยความอยากทดสอบ ทดลอง ความร้ายกาจ ร้ายแรง ของอาวุธชนิดนี้ การยอมแพ้ ยอมศิโรราบของนักรบบูชิโดต่อคุณพ่ออเมริกาในช่วงระยะนั้น จึงนำมาซึ่งความหมอบราบคาบแก้ว นำมาซึ่งความ “ซูฮก” ต่อพวกผิวขาว พวก “White Man” มาโดยตลอด หรือทำให้แนวคิดที่เรียกว่า “ลัทธิโยชิดะ” (Yoshida Doctrine) ที่ผู้นำญี่ปุ่นหลังยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างนายกรัฐมนตรี “ชิเกรุ โยชิดะ” (Shigeru Yoshida) หันมาเปลี่ยนแนวคิด แนวทาง แบบ 360 องศา ด้วยการพร้อมรับบทเป็น “พรมเช็ดเท้า” เป็น “สมุนอเมริกา” นับแต่นั้นเป็นต้นมา ได้กลายเป็นหลักคิด วิธีคิด ของบรรดานักการเมืองญี่ปุ่นมาโดยตลอด อันพอจะส่งผลให้ญี่ปุ่นกลายเป็นส่วนประกอบเล็กๆ น้อยๆ ของพวกผิวขาว หรือพวกกลุ่มประเทศ “G7” มาจนตราบเท่าทุกวันนี้...
การคิดหวนกลับไปเป็น “มหาอำนาจทางทหาร” พร้อมกับการ “ดื่มยาพิษ” แห่ง “อารยธรรมวัตถุนิยม” กันเต็มคราบ จนเกิดความเสื่อมโทรม เสื่อมทราม ชนิดต้องเป็น “มหาอำนาจ AV” (มหาอำนาจหนังโป๊) ควบคู่ไปด้วย แต่ยังดันไปชี้ชวน เชิญชวน ให้พวกผิวขาวย้อนกลับมาเล่นงานชาวเอเชียด้วยกันอีกต่างหาก ด้วยลักษณะอาการเช่นนี้นี่เอง...เลยทำให้อดีตผู้นำรัสเซีย อดีตประธานาธิบดี “ดมิตรี เมดเวเดฟ”ท่านเลยอดคันปากยุบๆ ยิบๆ ขึ้นมามิได้ เพราะการชี้ชวน เชิญชวน พวก “White Man” ให้หันมาเล่นงานผู้คนในภูมิภาคเดียวกัน ที่มุ่งกระทำการในจุดมุ่งหมายเดียวกันกับบรรพบุรุษ-วีรบุรุษของนักรบซามูไรในอดีต หรือหันมาขัดขวางกระบวนการสรรค์สร้าง “ระเบียบโลกใหม่” ที่มิได้มุ่งแต่จะให้ชาวเอเชียโดยลำพังเท่านั้น แต่มุ่งให้ชาวแอฟริกา ละตินอเมริกา ยุโรป เอเชีย หรือชาวโลกทั้งโลก มีโอกาสได้รับ “อิสรภาพที่แท้จริง” พ้นไปจากการครอบงำของโลกตะวันตก มีโอกาสร่วมแบ่งปันความเจริญ มั่งคั่ง สันติภาพ ความเป็นอิสระจากการครอบงำและบงการของพวกผิวขาว ดังเช่นที่อดีตนายกรัฐมนตรี “โตโจ” เคยป่าวประกาศถึงสิ่งที่เรียกว่า “Co-Prosperity” หรือ “ความรุ่งเรืองร่วมกัน” เมื่อช่วงไม่กี่สิบปีนี่เอง จึงเป็นอะไรที่น่าเกลียด น่าทุเรศ น่าผะอืดผะอมเอามากๆ จนหนีไม่พ้นต้องเรียกร้องขอให้นายกรัฐมนตรี “คิชิดะ” กลับไปกระทำการ “เซ็ปปุกุ” กระทำการ “ฮาราคีรี” หรือกลับไป “คว้านท้อง” ตัวเอง ตามหลักการบูชิโด ให้หมดเรื่อง หมดราว ให้สมเกียรติยศและศักดิ์ศรีของชาวซามูไร แทนที่จะแสดงออกถึง...“ความเป็นโรคจิตหวาดระแวง การทรยศต่อความทรงจำของชาวญี่ปุ่นที่ถูกไฟนิวเคลียร์เผาผลาญ ณ เมืองฮิโรชิมา-นางาซากิ” น่าจะเป็นอะไรที่เหมาะกว่า เข้าท่ากว่า เป็นไหนๆ!!!