นี่ก็ใกล้ๆ คริสต์มาสเข้ามาทุกที...ปิดฉากสัปดาห์นี้เลยคงต้องขออนุญาตเริ่มต้นด้วยการลองไปหยิบเอาความคิด-ความเห็นของ “ประมุขสูงสุด” แห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก พระสันตะปาปา “ฟรานซิส” ที่ท่านทรงออกมาให้ทัศนะเรื่องความขัดแย้งระดับโลก อย่างเรื่อง “รัสเซีย-ยูเครน” เอาไว้เมื่อวัน-สองวันมานี้ ว่าน่าเก็บเอามาใคร่ครวญ หวนคิด เอามาใช้เป็นอุทาหรณ์สอนใจ ติดปลายนวมเอาไว้มั่งหรือไม่?-อย่างไร? แม้จะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความเป็นชาวคริสต์-ชาวพุทธ-ชาวอิสลาม หรือชาวอะไรต่อมิอะไรก็เถอะ...
แต่ถ้าลองหากต้องเป็น “ชาวโลก” หรือ “พลโลก” แล้ว...ยังไงๆ น่าจะต้องเก็บมานึกๆ-คิดๆ เอาไว้มั่ง เพราะพระสันตะปาปาท่านถึงกับออกมา “ฟันธง” และ “ฟันเฟิร์ม” เอาไว้แบบชนิดแทบมิดด้าม-เต็มด้าม ว่ายังไงๆ สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนคราวนี้ คงไม่จบลงง่ายๆ อยู่แล้วแน่ๆ!!! หรือ “ข้าพเจ้ามองไม่เห็นจุดจบของสิ่งเหล่านี้ภายในอนาคตอันใกล้...เพราะนี่คือสงครามโลกนั่นเอง อย่าลืมข้อนี้เสีย” หรือเพราะมันเป็นสงครามที่เต็มไปด้วยความเกี่ยวข้องทางผลประโยชน์ของหลายต่อหลายฝ่าย อีกทั้งยังเป็นความเป็นจริง เป็นข้อเท็จจริง ตามครรลองของธรรมชาติอีกด้วยต่างหาก นั่นก็คือ... “สงครามมักจะเริ่มต้นขึ้นในทุกๆ ครั้งเมื่อ...จักรวรรดิ...เริ่มอ่อนแอ”...
คือสรุปง่ายๆ ว่า...แนวโน้มที่จะต้องพูดกันเรื่องรัสเซีย-ยูเครน เรื่องการปะทะขัดแย้งใน “แนวรบยุโรปตะวันออก” คงต้องว่ากันแบบยาวอีเหลนเป๋น อาจพอๆ กับเรื่องมหากาพย์ภควัทคีตา หรือเรื่องการรบระหว่างตระกูล “ปานฑพ-เการพ” ในสมรภูมิทุ่งกุรุเกษตร ยุคโบร่ำ-โบราณของชาวอินตะระเดียเอาเลยก็ไม่แน่!!! แม้ว่าอภิมหากูรูด้านการเมืองระหว่างประเทศ อย่างคุณปู่ คุณทวด “เฮนรี คิสซินเจอร์” ที่อายุปาเข้าไป 90 กว่าปีเข้าไปแล้ว ท่านจะเบื่อหน่าย รำคาญ หรือจะด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ จนต้องออกมาร่ายเรียงข้อเขียน บทความ ในนิตยสาร “The Spectator” เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ประมาณว่า “พอ...ได้แล้ว” หรือ “เลิกเหอะ” อะไรประมาณนั้น สำหรับใครก็ตามที่คิดจะ “ลากยาวว์ว์ว์” ให้ความขัดแย้งเหล่านี้ต้องยืดเยื้อ คาราคาซังต่อไปอีก เพราะโอกาสที่มันจะกลายสภาพ จะยกระดับไปเป็น “สงครามโลกครั้งที่ 3” ยิ่งเห็นได้ถนัดชัดเจนยิ่งเข้าไปทุกที...
แต่ก็นั่นแหละ...ความปรารถนาดี ความจริงใจของคนแก่-คนเฒ่า ไม่ว่ารู้ลึก-รู้จริง ผ่านร้อน-ผ่านหนาว ผ่านประสบการณ์มาถึงขั้นไหนต่อขั้นไหนก็แล้วแต่ แต่โอกาสที่จะช่วยฉุด ช่วยรั้ง ช่วยไม่ให้ “จักรวรรดิที่กำลังอ่อนแอ” ต้องหาทางออก ทางไปด้วย “สงคราม” แบบซ้ำๆ ซากๆ มันคงเป็นอะไรที่ยากเย็นแสนเข็ญ พอๆ กับการเข็นภูเขาขึ้นครก หรือการจูงอูฐลอดรูเข็มอะไรประมาณนั้น หรืออย่างที่รองอธิการบดี แห่งสถาบัน “The Russian Institute of Tsinghua University” “นายWu Dahui” ท่านได้อรรถาธิบายเอาไว้ในการประชุมประจำปีของสื่อทางการจีน “Global Times” (2023 Global Times Annual Conference) ที่จัดขึ้นเมื่อช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา (17 ธ.ค.)นั่นแหละว่า เป้าหมาย 3 ประการของจักรวรรดิอเมริกาต่อความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน คือ 1. ต้องหาทางสร้างความอ่อนแอให้กับหมีขาวรัสเซียให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ 2. ต้องพยายามประคับประคองรัฐบาลตัวแทน-ตัวตลกยูเคน ให้มีเสถียรภาพต่อไป และ 3. ต้องเกลี้ยกล่อม โน้มน้าว และกดดันให้ยุโรปทั้งยุโรปเดินตามก้นสหรัฐฯ หรือสูดกลิ่นมาดามหอมชื่นใจไปโดยตลอด...
สิ่งเหล่านี้...เลยทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีแต่ต้องยืดเยื้อ-คาราคาซังอีกต่อไป หรือต้องตกอยู่ในสภาพที่... “ทุกฝ่ายถูกล็อกให้ต้องยืนคุมเชิงอยู่ภายใต้แรงเสียดสีของสนามรบ ที่อาจถูกยกระดับไปสู่สถานการณ์ใหม่ๆ” อันเป็นสถานการณ์ที่เต็มไปด้วย “ความไม่แน่นอน” อย่างน้อย 3 ประการด้วยกัน ก็คือ 1. การเผชิญหน้าโดยตรงระหว่างรัสเซียกับนาโต 2. การหันมาใช้อาวุธร้ายแรงเช่น “ระเบิดสกปรก” ของยูเครนและ 3. การที่รัสเซียถูกกดดันจนอาจต้องใช้อาวุธนิวเคลียร์...
แต่ไม่ว่าจะเกิดฉากสถานการณ์ใหม่ๆ หรือยังเป็นไปภายใต้สถานการณ์เดิมๆ ก็แล้วแต่ “ความยืดเยื้อ” และ “การขยายตัว” ของความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนนี่เอง ที่กำลังส่งผลกระทบและสร้างความเสียหายให้กับโลกทั้งโลก ทั้งปัจจุบันและอนาคตอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ถ้าว่ากันตามความคิด-ความเห็นของศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแห่งมหาวิทยาลัยนานกิง “นายZhu Feng” ที่ได้อรรถาธิบายไว้ในเวที “2023 Global Times” เช่นกัน และเป็นผลกระทบที่ออกจะหนักหนา-สาหัสเอาเรื่อง โดยไม่ใช่แต่เฉพาะบรรดาประเทศ หรือผู้คนพลเมืองในแนวรบด้านนี้เท่านั้น แต่ยังแผ่ซ่าน แผ่ขยาย ครอบคลุมไปถึงโลกทั้งโลก ไม่ว่าจะโดยภาวะขาดแคลนพลังงาน ภาวะเงินเฟ้อ ไปจนความปั่นป่วนระส่ำระสายของธุรกิจห่วงโซ่อุปทาน ที่เคยเป็นตัวเชื่อมโลก เชื่อมโลกาภิวัตน์ให้เกี่ยวข้อง โยงใยกันมาโดยตลอด....
สำหรับในยุโรปนั้น...ไม่ใช่แต่เฉพาะความปั่นป่วนในด้าน “เศรษฐกิจ” ที่บรรดาพวกฝรั่งประเภทคนเคยรวยทั้งหลาย ต้องกลายสภาพไปเป็นพวก “อดมื้อ-กินมื้อ” ไม่มีน้ำมัน ไม่มีแก๊ส ไม่มีไฟฟ้าใช้ ต้องหันไปเป็น “มังสวิรัติ” กันไปเป็นแถบๆ จนเกิดประท้วง การลงถนนชนิดไม่เว้นแต่ละวัน ไม่ว่าในอังกฤษ หรือประเทศหลักๆของอียูอย่างฝรั่งเศส เยอรมนี เบลเยียม ฯลฯ แต่ยังทำท่าว่าใกล้จะเป็นความแตกแยก กันในทาง “การเมือง” อีกด้วยต่างหาก กระแสเรียกร้องให้ “ถอนตัวออกจากนาโต” ของมวลชนนับหมื่นๆ แสนๆ ในฝรั่งเศสเมื่อวัน-สองวันนี้ จะไป “ดูเบา” ไม่ได้เอาเลย ไม่ต่างไปจากมวลชนถึง 15,000 คนในเบลเยียมที่ออกมาประณามรัฐบาลตัวเอง หรือในเยอรมนีที่กระแสลม “ฝ่ายขวา” เริ่มพัดแรงขึ้นไปตามลำดับ ฯลฯ...
อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้ กลายเป็นตัวสร้างปัญหาระดับลึกซึ้งและรุนแรง ให้กับบรรดารัฐบาลยุโรปที่ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของแนวคิด “เสรีนิยมใหม่” มาโดยตลอด จนต้องกลายสภาพเป็น “พรมเช็ดเท้า” ให้กับรัฐบาลอเมริกัน อย่างที่ผู้นำรัสเซีย “นายวลาดิมีร์ ปูติน” ท่านออกมาอุปมา-อุปไมย เอาไว้เมื่อวัน-สองวันนี้ คือหนักซะยิ่งกว่าการเป็น “สุนัขพูเดิล” ให้กับอเมริกาในยุคนายกรัฐมนตรี “โทนี แบลร์” ของอังกฤษกระเหี้ยนกระหือที่จะ “บุกอิรัก” ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า คือเป็น “หมา” หรือเป็นแค่ “สุนัข” นั้น อย่างน้อยก็ยังพอมีชีวิต-จิตใจเหลืออยู่มั่ง แต่ถึงขั้นเป็น “พรมเช็ดเท้า” นั้น แทบไม่เหลืออะไรติดปลายนวมเอาไว้เลย!!!
และที่น่าหนักใจยิ่งไปกว่านั้นอีกก็คือว่า...การลุกลามของภาวะ “เงินเฟ้อ” ที่ไม่ใช่แค่ก่อให้เกิดความแพงแสนแพงของราคาสินค้าแทบทุกชนิดเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดปัญหา “วิกฤตหนี้สิน” ของบรรดาประเทศกำลังพัฒนา อันเนื่องมาจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางต่างๆ อย่างชนิด “ใส่เกียร์ 5” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ไปจนถึงภาวะ “เศรษฐกิจถดถอย” ในระดับทั่วทั้งโลก อันนี้นี่แหละ...ที่มันทำให้ฉากเหตุการณ์ในแบบคล้ายๆ “อาหรับสปริง” กำลังอุบัติขึ้นมาโดยธรรมชาติในแต่ละทวีป แต่ละซีกโลก เกิดอาการ “สปริง” กันไปแทบจะทั้งโลก ตัวอย่างที่พอจะเริ่มเห็นๆ ก็คือการประท้วงในไลบีเรีย และในอาร์เจนตินา ที่เพิ่งจะฉลองชัยชนะของ “เมสซี” ไปหมาดๆ นั่นเอง หรือทำให้เกิดแนวโน้มแห่ง “ความเปลี่ยนแปลง” ไม่ว่าในทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ไปจนถึงวัฒนธรรม-ประเพณี ค่อยๆ ทยอยอุบัติขึ้นในแต่ละสังคม แต่ละชาติ-บ้านเมืองแบบเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นมาในวิกฤตเศรษฐกิจปี ค.ศ. 1930 หรือที่เรียกๆ กันว่า “The Great Depression” นั่นเอง!!!
ดังนั้น...เอาเป็นว่า สำหรับบ้านอื่น-เมืองอื่น เขาจะเตรียมตัว-เตรียมใจ รับมือกับภาวะแนวโน้มความเป็นไปเหล่านี้ในแบบไหนต่อแบบไหนก็แล้วแต่ แต่สำหรับบ้านเราหรือประเทศไทยแลนด์ แดนสยามของหมู่เฮาแล้ว อย่างน้อย...คงต้องพยายามท่องจำกันให้ขึ้นใจ ว่าด้วยเหตุเพราะภาวะเศรษฐกิจโลก หรือโดย “วิกฤตปี ค.ศ. 1930” นั่นเอง ที่กลายเป็นตัวสร้างสภาวะแวดล้อม อันนำไปสู่ “ความเปลี่ยนแปลง” ในอีก 2 ปีต่อมา นั่นก็คือ “การเปลี่ยนแปลง พ.ศ. 2475” หรือการปฏิวัติ-รัฐประหารแบบชนิด “พลิกฟ้า-คว่ำดิน” เปลี่ยนจาก “ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์” ไปสู่ “ระบอบประชาธิปไตยที่ไม่มีอะไรจะแ-ก!!!” มาจนตราบเท่าทุกวันนี้...นั่นแล...