นับตั้งแต่มีการปลดล็อกกัญชาพ้นจากการเป็นสิ่งเสพติดให้โทษตามกฎหมาย และมีการออกข่าวป่าวประกาศว่ากัญชารักษาโรคได้ ประชาชนพากันตื่นตัวกับสมุนไพรตัวใหม่ซึ่งเป็นผลมาจากพรรคภูมิใจไทยได้ประกาศนโยบายกัญชาเสรี ในการปราศรัยหาเสียงในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 โดยจะอนุญาตให้ประชาชนปลูกกัญชาได้ครอบครัวละ 6 ต้น เพื่อนำมาใช้ในทางการแพทย์ และนับว่าจะทำให้กัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่
หลังจากการเลือกตั้งและพรรคภูมิใจไทยได้เข้าร่วมรัฐบาล ภายใต้การนำของพรรคพลังประชารัฐ โดยมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จึงได้ผลักดันนโยบายกัญชาเสรีเข้า ครม.ปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชายาเสพติดตามกฎหมาย ทำให้ประชาชนตื่นตัวเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์มงคลตื่นข่าว จะเห็นได้ว่า จากการที่ประชาชนแห่กันออกไปซื้อพันธุ์กัญชามาปลูกในราคาต้นละ 350 บาท และจากการที่ประชาชนได้นำกัญชามาผสมอาหาร และเครื่องดื่มออกขายกันอย่างดาษดื่น จนกระทั่ง กทม.และสถานศึกษารวมไปถึงกองทัพได้ประกาศห้ามนำผลิตภัณฑ์ผสมกัญชาเข้าไปขาย ทั้งนี้ด้วยความห่วงใยสุขภาพของเยาวชนจนกลายเป็นเรื่องวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ และต่อมาทางกระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศควบคุมการนำกัญชามาใช้ ยกเว้นใช้ทางการแพทย์ แต่ดูเหมือนจะช้าไปแล้ว ทั้งนี้ เนื่องจากว่าประชาชนเข้าใจว่านำมาใช้ได้อย่างเสรีนั่นเอง และที่เป็นเช่นนี้จะไปโทษประชาชนก็คงไม่ได้ แต่จะต้องโทษรัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุข ที่ประกาศปลดล็อกกัญชา แต่ไม่มีการออกกฎหมายควบคุมรองรับการปลดล็อกนั่นเอง
จริงอยู่ในขณะนี้ ได้มีการร่างกฎหมายกัญชา กัญชง แต่กฎหมายฉบับนี้ก็ยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาของสภาฯ และมีแนวโน้มว่าจะผ่านวาระ 2-3 ได้ยาก เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน ประกาศชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยโดยให้เหตุผลว่าไม่รอบคอบ รัดกุมพอที่จะป้องกันการนำกัญชาไปใช้ในทางสันทนาการ แต่ก็เห็นด้วยกับการนำกัญชาไปใช้ในทางการแพทย์ ซึ่งในความเป็นจริงในอดีตที่ผ่านมา แพทย์แผนไทยก็ได้นำกัญชามาใช้เป็นสมุนไพรผสมอยู่แล้วในยาหลายขนาน โดยเฉพาะยาอายุวัฒนะประเภทมีสรรพคุณกินได้ นอนหลับ ล้วนแล้วแต่มีกัญชาผสมแทบทุกขนาน
ดังนั้น ผู้เขียนจึงเห็นด้วยกับคุณหมอท่านหนึ่งที่บอกว่า ไม่ต้องปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด ก็นำกัญชาใช้ทางการแพทย์ได้อยู่แล้ว
แต่เมื่อปลดล็อกแล้วควบคุมการใช้ไม่ได้เท่าที่ควรจะเป็นก็เป็นอันตรายแก่เยาวชนที่ชอบลองของแปลกใหม่
ดังนั้น ถ้าวันหนึ่งข้างหน้าเด็กนักเรียนติดกัญชามีปัญหากับการเรียน ใครจะรับผิดชอบ เพราะอย่าลืมว่า ถึงแม้ว่ามีกฎหมายออกมาควบคุมการใช้กัญชา ก็ใช่ว่าจะควบคุมได้ 100% ทั้งนี้ด้วยเหตุปัจจัยในเชิงตรรกะดังต่อไปนี้
1. เมื่อมีการอนุญาตให้มีการปลูกและจำหน่ายได้ โดยระบุให้นำไปใช้ทางการแพทย์เท่านั้น
แต่ในความเป็นจริง การควบคุมและตรวจสอบกัญชาที่ปลูกไว้ในบ้าน มิให้นำไปใช้เพื่อสันทนาการคงทำได้ยาก ไม่ต้องดูอื่นไกลแค่ยาบ้ามีกฎหมายห้ามชัดเจน แต่ก็ไม่ลืมว่า ประชาชนทั่วไปรู้เพียงว่า กัญชารักษาโรคได้ก็จะนำกัญชามาใช้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ หรือไม่ก็ตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาเกินจริงของคนที่เห็นแก่ได้ผลิตยาผสมกัญชาออกมาขายโดยไม่มีคุณภาพเพียงพอ ดังที่เกิดขึ้นกับอาหารเสริมหลายๆ ยี่ห้อที่ขายกันดาษดื่นอยู่ในขณะนี้
2. การนำกัญชามาปลูกเพื่อเป็นพืชเศรษฐกิจให้กับคนยากจน โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยเป็นไปได้ยาก เพราะจะต้องลงทุนสูงเพื่อให้ได้ปริมาณและคุณภาพที่ตลาดต้องการ และที่สำคัญปลูกแล้วจะขายที่ไหน ใครเป็นคนซื้อ และซื้อในราคาต้นทุนหรือไม่
ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลโดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทยเจ้าของนโยบาย จะต้องทำการศึกษา ค้นคว้า และกำหนดมาตรการให้รอบคอบ รัดกุม โดยคำนึงผลได้และผลเสีย ซึ่งประเทศจะได้รับก่อนแล้วค่อยขอความร่วมมือจากพรรคอื่นในการผ่านกฎหมายกัญชา กัญชง อย่าเอาแต่มองว่าทุกอย่างเป็นเกมทางการเมืองดังที่เป็นอยู่