xs
xsm
sm
md
lg

‘ทำงานการเมือง’ ต้องไม่อาย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: โสภณ องค์การณ์



การจะมาทำงานการเมืองหรือเป็นนักเลือกตั้งในระบบการเมืองน้ำเน่าด้อยพัฒนาแบบบ้านเรา คุณสมบัติข้อแรกคือ ต้องตัดความคิดที่จะต้องรู้สึกอาย ออกไปให้ได้

ถ้าเห็นพวกเดียวกันอยู่ในอำนาจ ตำแหน่งสำคัญ แล้วมีพฤติกรรมทุจริตคอร์รัปชัน ต้องไม่เอะอะโวยวายหรือทำตัวเป็นคนดีที่โลกสมัยนี้ไม่ต้องการ

ถ้าจะเป็นนักเลือกตั้งต้องโกหก เป็นถึงขั้นจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน อยู่ในประเภทมะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก ร้อยลิ้นกะลาวน ลิ้นตวัดถึงใบหู ต้องรู้จักทำเฉไฉไขสือยืนกระต่ายขาเดียวถ้าถูกจับได้ว่าประพฤติมิชอบ เปิดช่องให้คนอื่นได้โกง

ถ้ายังมีจิตสำนึกและอยากละอายอยู่บ้าง ตอนเข้าไปทำงานการเมืองรู้สึกตะขิดตะขวงใจถ้าจะต้องโกง ก็คิดเสียว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของการเมืองด้อยพัฒนา ใครก็ทำกัน ยิ่งอยู่ในตำแหน่งมีอำนาจมาก โอกาสโกงยิ่งมีมาก

ช่วงที่โกงหนักถึง 40% ขึ้นไปประชาชนยังถอดใจ บางส่วนยอมรับว่าให้เขาโกงเถอะถ้าเรายังได้ประโยชน์บ้าง หมายถึงยอมรับเศษเนื้อข้างเขียงที่พวกกังฉินโยนให้

ไม่มียุคไหนที่ผู้มีอำนาจการเมือง ข้าราชการบางพวก พ่อค้านักติดสินบนจะมีพฤติกรรมชั่วร้ายรุนแรงเหมือนยุคนี้ ถึงขั้นที่ว่าความมั่งคั่ง 67% ของประเทศตกอยู่ในมือของคน 1% คือกลุ่มผู้ร่ำรวยจากอภิสิทธิ์ผูกขาด การเอื้ออวยโดยผู้กุมอำนาจ

ช่วงนี้ชาวบ้านคนกาเบอร์ได้ยินคำหวานจากนักเลือกตั้งโกหกแบบตาไม่กะพริบว่าจะมุ่งทำงานเพื่อบ้านเมืองและประโยชน์สุขของประชาชน ซึ่งไม่แปลกเพราะเป็นช่วงที่นักเลือกตั้งเริ่มหาเสียงอย่างหนัก หนีงานสภาฯ เดินสายตลอด

ประชาชนที่เป็นเหยื่อคำโกหกของนักเลือกตั้งอาจจะเชื่อคำลวง ยิ่งถ้าได้รับเงินซื้อเสียงล่วงหน้าก็เท่ากับเป็นการสร้างความประทับใจ และรู้สึกถึงบุญคุณที่เศษเงินเพียงไม่กี่ร้อยหรือระดับพันบาทได้ช่วยด้านค่าใช้จ่ายบ้าง

นักเลือกตั้งจึงเอาอำนาจของชาวบ้านจากในคูหาเลือกตั้งไปถอนทุน บวกกำไร

ในยุคที่เงินหายาก ค่าครองชีพสูง รายได้ชักหน้าไม่ถึงหลัง หนี้บานอย่างนี้ เงินเพียงแค่ 200 บาทที่เป็นค่าจ้างให้ไปฟังนักการเมืองพ่นน้ำลายในวาระต่างๆ บวกกับเสื้อยืดและข้าวกล่อง น้ำดื่มย่อมมีความหมาย ดีกว่าอยู่บ้านโดยไม่มีรายได้

ชาวบ้านส่วนหนึ่งหรืออาจเป็นส่วนใหญ่ คงเชื่อว่านักการเมือง นักเลือกตั้งเข้าไปกุมอำนาจแล้วจะมุ่งทำงานพัฒนาบ้านเมือง ช่วยเหลือประชาชน ในความเป็นจริงเรื่องดีๆ แบบนั้นไม่เกิดขึ้น แทบทุกโครงการมีเรื่องการโกงกิน นักการรวยแล้วโอหัง

เหตุผลที่ฟังได้ง่ายก็คือนักเลือกตั้ง พรรคการเมืองได้เงินสนับสนุนก้อนใหญ่จากนายทุนกลุ่มธุรกิจเป็นระดับหลายร้อยล้านหรือพันล้านบาทเป็นทุนในการหาเสียงและชื้อเสียง รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการซื้อนักเลือกตั้งเข้าสังกัดให้ได้เสียงมากที่สุด

เมื่อเป็นเช่นนี้ นักเลือกตั้งที่กุมอำนาจรัฐย่อมต้องตอบสนองนโยบายและความต้องการของนายทุนกลุ่มธุรกิจผู้เป็นเจ้าของบุญคุณมากกว่าใส่ใจในทุกข์ร้อนของประชาชนทั้งหนี้นอกระบบ หนี้ครัวเรือน รวมทั้งหนี้ประเทศที่กู้มาโกง

นั่นเป็นเพราะนักเลือกตั้งต้องจ่ายเงินซื้อเสียงชาวบ้าน ชาวบ้านไม่ได้ให้เงินนักเลือกตั้ง แต่กลุ่มทุนธุรกิจต่างหากที่ช่วยเหลือนักเลือกตั้ง ดังนั้นไม่ใช่เรื่องยากที่จะต้องมองว่านักเลือกตั้งจะต้องรับใช้ใครเป็นอันดับแรกเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน

นักเลือกตั้งจึงดิ้นรนหาที่ลง หนีตาย ย้ายพรรคง่ายกว่าเปลี่ยนกางเกงใน

โครงการต่างๆ ช่วยเหลือประชาชนเป็นเพียงฉากหน้าเพื่อหากินเปอร์เซ็นต์และเงินทอนจากผู้รับเหมา ซึ่งเป็นรูปแบบของการทุจริตคอร์รัปชันที่เป็นอยู่ แล้วแต่ว่าจะกินกันกี่ทอดและกี่เปอร์เซ็นต์ ช่วงของท่านห้าวเป้ง 8 ปีกว่า เงินหายไป 3 แสนล้านบาท

การเมืองที่อุจาดลามกคือการขายตัว การย้ายค่ายของนักเลือกตั้งที่อ้างว่าต้องแสวงหาพรรคที่มีอุดมการณ์ตรงกัน แท้ที่จริงเป็นเพียงข้ออ้างสำหรับการหาค่าตัวจากคนที่พร้อมจ่ายในราคาที่ตัวเองต้องการ และโอกาสที่จะได้รับเลือกตั้ง

ท่านห้าวเป้งผู้ดิ้นรนอยากอยู่ต่อในอำนาจ ก็ไม่อยู่เหนือกฎเกณฑ์นี้ พร้อมจะทำทุกอย่างโดยไม่ต้องระวังว่าประชาชนจะคิดอย่างไร ถ้าตัวเองจะได้อยู่เป็นหัวหน้ารัฐบาลต่อไป แม้จะเกินเวลาที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ในความเป็นจริงก็ตาม

การเมืองน้ำเน่าบ้านเราจึงไม่มีอุดมการณ์ ไม่มีจิตสำนึกมโนธรรม ศีลธรรมจริยธรรมและยางอาย ถ้าเป็นระดับสากลก็คือเป็นการเมืองที่ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร มีแต่ผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้นที่ถาวร

การรับใช้กลุ่มทุนจึงไม่ได้จำกัดเฉพาะในบ้านเรา ประเทศพัฒนาแล้วอย่างเช่นสหรัฐอเมริกาก็เป็นเรื่องของกลุ่มทุนที่สามารถกำหนดทิศทางและนโยบาย รวมทั้งการออกกฎหมายต่างๆ ทำกันอย่างเปิดเผยโดยไม่ถูกมองว่าเป็นการผิดกฎหมาย

ต่างกันที่ว่าการเมืองบ้านเรามุ่งเน้นการแสวงหาผลประโยชน์มากเกินไป การทุจริตคอร์รัปชันเกิดขึ้นในวงการเมืองตั้งแต่การชิงอำนาจในปี 2475 ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง รัฐประหาร หรือการแต่งตั้ง

เป็นสภาพการเมืองที่ประเทศมองไม่เห็นอนาคตว่าจะดีขึ้นอย่างไร ดังที่เป็นอยู่ประชาชนมีแต่ยากจนลง กลุ่มธุรกิจ นายทุนพรรคการเมือง มีแต่จะรวยขึ้นและกลุ่มอำนาจผูกขาดซึ่งเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน บ้านเมืองเสี่ยงต่อความเสื่อมจนหายนะ

ประเทศไทยจึงตกอยู่ในสภาพหน้าอนาถ ระบบการเมืองไม่เปิดช่องทางให้คนดีมีความรู้ความสามารถ ใจซื่อมือสะอาด เข้ามามีอำนาจได้ ต้องเป็นระบบทายาทอสูรเจ้าพ่อท้องถิ่น มีเงินทุน อิทธิพล เครือข่ายหัวคะแนนและเงินซื้อเสียง

ถ้าไม่เชื่อตอนนี้ ก็รอดูผลการเลือกตั้งในปีหน้าก็แล้วกัน ถ้ามี


กำลังโหลดความคิดเห็น