หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
วันนี้สังคมไทยกำลังเดินเข้าสู่หัวเลี้ยวหัวต่อหรือทางแยกที่อาจจะเปลี่ยนแปลงประเทศไปในทิศทางที่อาจจะไม่คาดฝัน เมื่อคนในชาติมีความเห็นทางการเมืองที่แบ่งออกเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจนและผ่านการต่อสู้ห้ำหั่นกันมายาวนานเกือบ2ทศวรรษ แถมฟากฝั่งหนึ่งยังมีความคิดที่ท้าทายต่อระบอบของรัฐแฝงตัวอยู่ด้วย
โพลที่สำรวจทางการเมืองสะท้อนว่าพรรคการเมืองที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตยจะชนะในการเลือกตั้งครั้งหน้าเกือบทั้งประเทศยกเว้นภาคใต้ เพราะประชาชนส่วนใหญ่บอกว่าจะเลือกพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล ซึ่งมันสะท้อนว่าประชาชนจำนวนมากต้องการการเปลี่ยนขั้วอำนาจทางการเมือง ในขณะที่คนกรุงเทพฯส่วนใหญ่บอกว่า พวกเขาต้องการเลือกนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากพรรคก้าวไกลเป็นนายกรัฐมนตรี
ดังนั้นหากผลเป็นไปดังโพลก็เท่ากับว่าเรากำลังจะฝากอนาคตประเทศไทยไว้กับพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทยนั้นวางทายาทของทักษิณ แพทองธาร ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อช่วงชิงกับพิธาของพรรคก้าวไกล
ถ้าผลออกมาเช่นนั้นจริงไม่เพียงแต่เป็นการเปลี่ยนขั้วการเมือง แต่มันสะท้อนด้วยว่า ประชาชนเบื่อหน่ายรัฐบาลที่สืบทอดอำนาจมาอย่างยาวนาน
ชัยชนะของพรรคเพื่อไทยอาจจะไม่น่าหวั่นไหวเท่ากับชัยชนะของพรรคก้าวไกล หากพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งก็อาจจะสะท้อนเพียงว่าประชาชนต้องการเปลี่ยนฝ่ายที่เข้ามาบริหารประเทศ แต่หากพรรคก้าวไกลได้รับการเลือกตั้งเข้ามามากนั่นแสดงว่าประชาชนต้องการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างหรือระบอบด้วย
ต้องยอมรับนะครับว่า ความขัดแย้งที่ยาวนานของบ้านเรานั้นเป็นการต่อสู้ทางอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกันในขณะที่ประชาชนฝั่งหนึ่งยึดมั่นกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อีกฝ่ายที่มีความคิดที่ต้องการลดทอนบทบาทและสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์กำลังปลูกฝังและครอบงำความคิดของคนรุ่นใหม่จำนวนมาก
และจากโพลสะท้อนว่าความคิดนี้ไม่ได้เพียงถูกปลูกฝังในหมู่คนรุ่นใหม่ แต่กำลังได้รับการตอบรับจากคนชั้นกลางในเมืองด้วย หลายคนอาจจะเกิดจากความคิดที่คล้อยตามลูกหลานของตัวเอง แต่หลายคนก็เบื่อหน่ายการเมืองแบบเก่าที่มีแต่แย่งชิงผลประโยชน์จากอำนาจ การเมืองใต้อำนาจของ 3 ป.แม้จะรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเอาไว้ได้ แต่มันก็เหมือนสนิมที่ค่อยๆ กัดกร่อนตัวเอง เพราะการอยู่ในอำนาจของ 3 ป.นั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงประเทศไปในทางที่ดีขึ้นเพียงแต่ต้องการรักษาอำนาจของตัวเองไว้เท่านั้น
ต้องยอมรับว่าวันนี้คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่มีความคิดไปทางพรรคก้าวไกลที่มีความคิดที่ชัดเจนในการสนับสนุนการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์และพวกเขาทั้งคำถามต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ผ่านบทบาทของฝ่ายนิติบัญญัติในสภาอย่างเปิดเผย และเราเห็นคนรุ่นใหม่ส่วนหนึ่งกล้าแสดงตัวอย่างชัดเจนว่าพวกเขามีแนวคิดปฏิกษัตริย์นิยมโดยแสดงออกมาอย่างรุนแรงและก้าวร้าวบนท้องถนนและในโซเชียลมีเดียจนกระทั่งถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 จำนวนมาก
แต่เราเห็นได้เลยว่าการใช้อำนาจทางกฎหมายที่เข้มข้นไม่ได้ทำให้พวกเขาหวั่นไหว แต่กลับใช้การถูกกฎหมายเล่นงานเป็นเครื่องมือปลุกเร้าให้คนรุ่นใหม่ลุกฮือออกมาแสดงความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐไปในแบบที่พวกเขาต้องการมากขึ้น
ขณะเดียวกันแม้ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และปิยบุตร แสงกนกกุล จะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี แต่ทั้งสองก็ไม่ได้หยุดนิ่งที่จะเคลื่อนไหวทางการเมือง พวกเขาขับเคลื่อนมูลนิธิก้าวหน้าด้วยประเด็นที่แหลมคมขึ้น ความขัดแย้งใน 3 จังหวัดภาคใต้ที่พวกเขาแสดงตัวชัดเจนว่าสนับสนุนรัฐปาตานี หรือการขับเคลื่อนให้ยกเลิกราชการส่วนภูมิภาคและมีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดที่ทำให้มีรูปแบบคล้ายกับสหพันธรัฐ และจุดมุ่งหมายสำคัญที่พวกเขาสะท้อนความคิดออกมาเสมอก็คือ การแก้รัฐธรรมนูญหมวดพระมหากษัตริย์
มูลนิธิก้าวหน้าเคลื่อนไหวปลุกระดมนอกสภาคู่ขนานกับพรรคก้าวไกลที่มีบทบาทในสภาไปในทิศทางเดียวกันที่ท้าทายต่อระบอบรัฐและรูปแบบของรัฐในปัจจุบันอย่างชัดแจ้ง
ถามว่านี่กำลังจะเป็นอนาคตของสังคมไทยหรือ คำตอบก็คงต้องบอกว่า แม้อาจจะไม่ใช่อนาคตในเวลาอันสั้น แต่เราจะรับมือกับอนาคตที่ยาวไกลและเดินไปข้างหน้าได้อย่างไร ธนาธรและปิยบุตรโดนตัดสิทธิ์ทางการเมืองเพียง 10 ปี และถึงตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่กี่ปีพวกเขาก็จะกลับมา ถึงวันนั้นทุกอย่างอาจสุกงอมให้พวกเขาเก็บเกี่ยวผลผลิตพอดี
แน่นอนว่าพรรคก้าวไกลนั้นนอกจากเป็นพรรคที่ได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่แล้ว การจะเป็นพรรคที่ได้เสียงข้างมาก พวกเขาต้องแย่งชิงมวลชนบนฐานเดียวกันกับพรรคเพื่อไทยของทักษิณ วันนี้พรรคเพื่อไทยยังคงแข็งแกร่งเพราะความนิยมของทักษิณยังคงอยู่ในใจของมวลชนเสื้อแดง แต่อนาคตข้างหน้าถามว่าเราจะรับมือกับพรรคก้าวไกลอย่างไร
วันนี้พรรคการเมืองฝ่ายอนุรักษนิยมกำลังถดถอย คลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลงกำลังพัดโหมกระหน่ำมา มันเห็นชัดว่าคลื่นลูกเก่ากำลังถูกบดทับ แต่ถามว่าฝ่ายอนุรักษนิยมได้ตระหนักถึงความท้าทายนี้ไหม เห็นได้เลยว่า พวกเขาหาได้ตระหนักไม่ และยังสนุกกับการแบ่งปันแย่งชิงอำนาจอย่างไม่รู้ตัวเลยว่าวันเวลากำลังเหลือน้อยลงไปทุกที และส่วนใหญ่ยังคงเชื่อว่าพล.อ.ประยุทธ์ยังมีความนิยมอยู่ กองเชียร์พล.อ.ประยุทธ์ก็หาได้ตระหนักว่าเวลาของฝ่ายตัวกำลังเหลือน้อยลงทุกที
ต้องยอมรับว่า ผลของการเลือกตั้งครั้งหน้านั้นอาจจะยากคาดเดา แม้ว่าในโพลพรรคของทักษิณอาจจะยังเป็นต่อ แต่ด้วยบทเฉพาะกาลที่ฝากไว้ในมือของ 250 ส.ว.ก็อาจทำให้พรรคร่วมรัฐบาลเดิมกลับมาได้อีกครั้ง แต่ก็เป็นชัยชนะที่จะยื้อเวลาเอาไว้ชั่วขณะเท่านั้นเอง
หรือแม้ว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้า เราต้องเผชิญกับการกลับสู่อำนาจของระบอบทักษิณ แม้เชื่อว่า ทักษิณคงไม่หักหาญให้พรรคของเขาจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคก้าวไกล แต่ในอนาคตเราจะรับมืออย่างไรกับพรรคก้าวไกล ในห้วงเวลาที่ยิ่งเดินผ่านไปคนรุ่นใหม่ค่อยๆ เติบใหญ่กลายเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคม พวกเขาจะกลายเป็นมือที่เลือกอนาคตของตัวเองนั่นหมายถึงประเทศชาติจะเปลี่ยนไปตามความต้องการของคนส่วนใหญ่ด้วย
พรรคก้าวไกลอาจจะไม่ชนะเลือกตั้งในการเลือกตั้งครั้งหน้า และไม่มีวันได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลในอนาคตอันใกล้ แต่อนาคตที่ยาวไกลกว่านี้ วันที่คนรุ่นเก่าล้มหายตายจากไปและคนรุ่นใหม่ค่อยๆ เติบใหญ่ขึ้นคิดดูว่าพรรคการเมืองที่พวกเขาสนับสนุนจะประสบความสำเร็จไหม
ถามว่าวันนี้ฝ่ายอนุรักษนิยมยังมีเวลาไหมที่จะทบทวนตัวเองหรือตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทำไมถึงไม่สามารถครอบครองจิตใจของคนรุ่นใหม่ได้ ไม่สามารถทำให้พวกเขาเชื่อว่าระบอบที่ดำรงอยู่จะนำอนาคตที่ดีมาสู่พวกเขาได้ ทำไมความเป็นไทยจึงเป็นเรื่องน่ารังเกียจสำหรับพวกเขา แท้จริงแล้วพวกเขาชังชาติตัวเองหรือเกลียดชังระบอบที่เป็นอยู่
จริงอยู่คนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งที่ออกมาเคลื่อนไหวอาจจะถูกปลูกฝังความคิดที่ผิด และถูกยุยงจากผู้ใหญ่บางคนที่ใช้เด็กเป็นเครื่องมือทำให้พวกเขาจำนวนหนึ่งต้องติดคุกติดตาราง เราอาจคาดหวังว่าจะรอวันที่พวกเขาจะเติบใหญ่มีวุฒิภาวะมากขึ้นพวกเขาอาจจะเข้าใจสภาพของสังคมไทยที่เป็นอยู่ แต่ก็ต้องยอมรับด้วยว่า ระบอบเก่าและอำนาจเก่าที่ปกครองสังคมไทยมานั้นก็มีด้านอัปลักษณ์ที่ต้องการแก้ไขด้วย นั่นเป็นคำถามว่าระบบเก่าและอำนาจเก่าจะทบทวนและแก้ไขตัวเองด้วยหรือไม่
วันนี้นอกจากเราจะหมิ่นแคลนความคิดของคนรุ่นใหม่ แม้เราจะเห็นว่า พวกเขาต่อสู้เรียกร้องโดยไม่เข้าใจสภาพของสังคมไทย ความคิดของพวกเขาอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องทั้งหมด แต่ผู้มีอำนาจและระบอบที่ดำรงอยู่ก็ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองและมองหาความบกพร่องของตัวเองเพื่อจะแก้ไขด้วยไม่ใช่การใช้กำปั้นเหล็กปากกระบอกปืนหรืออำนาจเพียงอย่างเดียว
ทุกอย่างต้องแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงตัวเองไปตามสภาพของสังคมไทย เหมือนที่ชาร์ล ดาร์วินอธิบายว่า ตามสภาพธรรมชาติสิ่งมีชีวิตที่มีความสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดีกว่าพวกอื่น จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ และถ่ายทอดลักษณะที่เหมาะสมต่อไป
เราจะท้าทายวันเวลาและความคิดที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้คนตามสภาพสังคมด้วยอำนาจไม่ได้ตลอดไปหรอก
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan