ผมเคยคาดการณ์ว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา น่าจะพูดว่า “ผมพอแล้ว” เมื่อสภาฯ หมดวาระครบ 4 ปี แบบที่พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ บอกว่า “ผมพอแล้ว” เมื่อท่านจับได้ว่าอานุภาพของความเบื่อแผ่ซ่านไปทั่วสังคมหลังจากเป็นนายกรัฐมนตรีมา 8 ปี 154 วัน แต่สำหรับพล.อ.ประยุทธ์นั้นชัดเจนว่า เขาจะไปต่อกับพรรครวมไทยสร้างชาติ แม้จะเหลือวาระการดำรงตำแหน่งอีกแค่ 2 ปี
และหากพล.อ.ประยุทธ์ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งในสมัยหน้า เขาจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรวมกัน 10 ปี กับเศษวันอีกจำนวนหนึ่งมากกว่าจอมพลป.พิบูลสงครามที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลายสมัยรวมกัน 9 ปี 161 วัน
แต่ผมคิดว่าพล.อ.ประยุทธ์อาจจะมีเหตุผลที่เขาต้องไปต่ออย่างที่ไม่สามารถปฏิเสธหรือพูดต่อสังคมไทยได้ บางครั้งในสภาวะเช่นนี้พล.อ.ประยุทธ์อาจจะมิอาจเป็นตัวของตัวเองก็ได้ เพราะมีภารกิจที่ยิ่งใหญ่มากกว่าการเป็นนายกรัฐมนตรีที่เขาต้องแบกรับ
มีผู้คนไม่น้อยหรอกที่บอกว่ายุคสมัยที่เปลี่ยนผ่านแบบนี้ต้องการนายกรัฐมนตรีแบบพล.อ.ประยุทธ์ไม่ใช่ว่าใครก็เป็นได้
แต่อานุภาพของระบอบประชาธิปไตยก็คือการตัดสินด้วยเสียงของประชาชน ถามว่า วันนี้เสียงของประชาชนมากพอไหมที่จะอุ้มสมพล.อ.ประยุทธ์ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ถ้าเราสดับฟังเสียงของสังคมก็ต้องบอกว่า ริบหรี่เต็มที
ไม่รู้ว่าเหตุผลกลใดที่ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ต้องแยกทางกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่เหมือนกับลมใต้ปีกของตัวเอง จะบอกว่าวันนี้พล.อ.ประยุทธ์ที่ผ่านตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมากว่า 8 ปีปีกกล้าที่จะบินด้วยตัวเองแล้ว ก็มองไม่เห็นว่า บุคลิกแบบพล.อ.ประยุทธ์นั้นจะลงไปแบกรับภาระที่พล.อ.ประวิตรเคยทำให้ได้อย่างไร จะคาดหวังว่าพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาคจะทำหน้าที่แบบที่พล.อ.ประวิตรเคยทำให้พล.อ.ประยุทธ์ในพรรครวมไทยสร้างชาติก็ไม่เห็นวี่แววว่าบุคลิกแบบพีระพันธุ์จะทำได้แบบนั้น
ที่ผ่านมาพล.อ.ประยุทธ์อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแบบที่พล.อ.ประวิตรแบกรับเอาปัญหาทางการเมืองในพรรคเอาไว้เองทั้งหมด เพราะแม้ว่าพรรคพลังประชารัฐจะเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล ส.ส.ในพรรคก็แทบจะไม่ได้อานิสงส์อะไรจากสถานะของพล.อ.ประยุทธ์ แต่ก็มีพล.อ.ประวิตรนี่แหละที่คอยแบกซับความรู้สึกของบรรดา ส.ส.ในพรรคเอาไว้
ถามว่าพีระพันธุ์มีบารมีและจะทำได้แบบพล.อ.ประวิตรในการช่วยแบกหามพล.อ.ประยุทธ์ขึ้นบ่าไหม ก็ต้องบอกว่าไม่ใช่บุคลิกของพีระพันธุ์เลย พีระพันธุ์แม้จะเป็นนักการเมืองมาหลายปี แต่ก็ยังไม่มีบุคลิกที่เกลือกกลั้วแบบนักการเมืองได้เลย
ถ้าพีระพันธุ์จะเป็นหัวหน้าพรรคแบบพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นสถาบันที่เข้มแข็งก็อาจจะเป็นได้ แต่พรรครวมกันเฉพาะกิจแบบรวมไทยสร้างชาติย่อมต้องการหัวหน้าพรรคที่เจนจัดจริงๆ
หรือว่าสุดท้ายพล.อ.ประยุทธ์จะเป็นหัวหน้าพรรคเสียเอง แต่ถามว่าพล.อ.ประยุทธ์ดูแล ส.ส.แบบที่พล.อ.ประวิตรเคยทำได้ไหม จะมีใครบอกอย่างมั่นใจว่าเขาจะทำได้บ้าง การเป็นนายกรัฐมนตรีใต้เสื้อคลุมการเลือกตั้งมาเกือบ 4 ปีเขาแทบจะไม่เปิดทางให้นักการเมืองเข้ามาใกล้ชิดเลย
ประเด็นสำคัญว่า พรรครวมไทยสร้างชาติจะมีเสียงมากพอเพื่อจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลและเปิดทางให้พล.อ.ประยุทธ์ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งไหม พูดกันตามเนื้อผ้าจริงๆ หากจะเป็นเช่นนั้น กระแสของพล.อ.ประยุทธ์จะต้องมาแรงมาก แต่ถามว่าวันนี้ระหว่างกระแสกับความเบื่อของประชาชนอะไรที่มากกว่ากัน
คนที่รักและคลั่งไคล้พล.อ.ประยุทธ์ก็อาจจะยังมีอยู่ ความกลัวผีทักษิณของผู้คนก็ยังมีอยู่ แต่ถามว่ามากพอไหมที่จะทำให้พล.อ.ประยุทธ์ประสบความสำเร็จ ก็ต้องบอกว่าไม่มากพอ หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากคนกลางๆ ในสังคมก็ยากมากที่จะประสบความสำเร็จได้ แล้วถามว่าวันนี้คนกลางๆ ยังจะเลือกพล.อ.ประยุทธ์ที่เป็นนายกรัฐมนตรีและเห็นถึงความรู้ความสามารถในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ไหม คำตอบก็น่าจะเห็นได้จากโพลที่สะท้อนออกมา
พรรครวมไทยสร้างชาติของพล.อ.ประยุทธ์จะได้ ส.ส.เป็นกอบเป็นกำไหม บอกตรงๆ ว่า มองจากคนที่แห่แหนเข้าพรรคเวลานี้แล้วยังมองไม่เห็นเลยว่า มีใครบ้างที่มีแสงในตัวพอที่จะเอาตัวเองเข้าสภาฯ ได้ ดูแล้วก็ล้วนแล้วแต่หวังกระแสของพล.อ.ประยุทธ์ทั้งนั้น ทางที่พรรครวมไทยสร้างชาติพอจะได้ ส.ส.บ้างก็เห็นจะเป็นภาคใต้ แต่ครั้งนี้ก็ต้องแข่งกันหนักในพรรคการเมืองขั้วเดียวกันก็ไม่ง่ายเหมือนเดิม จะคาดหวังใน กทม.หรือ วันนี้ความรู้สึกนึกคิดของคน กทม.ก็เปลี่ยนไปแล้ว ส่วนภาคอื่นๆ มองไม่เห็นความหวังเลย
แน่นอนว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคการเมืองที่จะได้รับการเลือกตั้งเข้ามามากที่สุดคือ พรรคเพื่อไทย ไม่มีทางแปรผันไปจากนี้ แต่ถามว่าพรรคเพื่อไทยจะได้เสียงมากมายแบบแลนด์สไลด์ไหม ผมเชื่อว่ายังไม่น่าจะถึงขั้นนั้น แต่คิดว่าระดับ 200 เขาน่าจะมี และคิดว่า อาจจะเป็นไปได้สูงมากที่เสียงของพรรคเพื่อไทยรวมกันกับพรรคก้าวไกลจะเกิน 250 เสียงหรือเกินกึ่งหนึ่งของ ส.ส. 500 คน
แต่อย่างไรก็ตาม ทักษิณเจ้าของพรรคเพื่อไทยในทางพฤตินัยก็คงไม่คิดเอาพรรคก้าวไกลมาร่วมรัฐบาลหรอก แต่ถ้าเขากุมสภาวะที่ 2 พรรคคือเพื่อไทยกับก้าวไกลรวมกัน 250 เสียงเอาไว้ เขาจะบีบให้พรรคอื่นเข้าร่วม เพราะถ้าอีกฝั่งดึงดันจะใช้เสียง ส.ว.อุ้มสมเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยก็จะไม่สามารถบริหารประเทศได้ อาจจะมีอำนาจยุบสภาฯ เพื่อเลือกตั้งใหม่ แต่เชื่อเถอะสุดท้ายก็เหมือนเดิมอีก
ขีดเส้นเอาไว้เลยว่าพรรคก้าวไกลไม่มีวันได้เป็นรัฐบาล ยกเว้นคนทั้งประเทศนี้จะเลือกพรรคก้าวไกลอย่างถล่มทลาย แต่ถ้าถึงวันนั้นประเทศไทยก็จะไม่เป็นอย่างที่เป็นอยู่อีกแล้ว
ความหวังเดียวของพรรคร่วมรัฐบาลเดิมตอนนี้ที่จะยังจับมือกันกลับมาตั้งรัฐบาลในขั้วเดิมได้ก็คือ ต้องลุ้นให้พรรคเพื่อไทยรวมกับพรรคก้าวไกลแล้วไม่ถึง 250 เสียง แล้วพรรคร่วมรัฐบาลเดิมรวมเสียงได้เกิน 250 เสียง แต่ถามว่าถ้าเป็นอย่างนี้พรรครวมไทยสร้างชาติจะมีโอกาสเป็นอันดับ 1 ในฝั่งนี้ไหม ก็ต้องตอบว่ายากมาก ดูตามรูปทรงแล้ว เวลานี้พรรคฝั่งนี้ที่น่าจะมี ส.ส.เป็นกอบเป็นกำมากที่สุดก็คือพรรคภูมิใจไทย
แล้วถ้าพรรคภูมิใจไทยเขาเป็นพรรคอันดับ 1 ชู อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี เขาจะยอมถอยให้พล.อ.ประยุทธ์ไหม ก็คงไม่ นอกจากมีอำนาจพิเศษบอกว่า ให้พล.อ.ประยุทธ์เป็นอีกสองปีแล้วอนุทินค่อยเป็นที่เหลือก็อาจจะเป็นไปได้
ว่าด้วยกระแสความเบื่อของคนจำนวนหนึ่งนั้นอาจจะไม่ใช่เพราะพล.อ.ประยุทธ์อยู่มานาน แต่เบื่อเพราะเขามองไม่เห็นรูปธรรม 8 ปีในการเป็นนายกรัฐมนตรีที่เขาคาดหวัง เขาหวังว่าพล.อ.ประยุทธ์จะนำพาประเทศออกจากความขัดแย้งก็ไม่ใช่ แถมวันนี้พล.อ.ประยุทธ์กลายเป็นเงื่อนไขของความขัดแย้งเสียเอง
มักถูกถามว่าพล.อ.ประยุทธ์จะกลับมาได้ไหม ก็ต้องบอกตรงๆ ว่าริบหรี่เหลือเกิน
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan