คนส่วนใหญ่อาจจะคิดแบบเหนือจริง ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะ กลายเป็นเทพไป ที่ไม่ใช่มนุษย์ผู้ประเสริฐพระผู้มีปัญญาคุณ
การคิดแบบนี้ย่อมมีอยู่ในสังคมทั่วไปที่เล่าเรื่องราวสิทธัตถะที่สมมุติให้เหนือมนุษย์ แต่สิ่งหนึ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าสอนเราในพระไตรปิฎกที่มีบันทึกไว้ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงสอนให้เราใช้สติปัญญาของมนุษย์ มิใช่ความคิดของพราหมณ์ผู้บวงสรวงเทพเจ้า
มีบันทึกเอาไว้ว่าสมัยหนึ่ง ครั้งพุทธกาล พวกพราหมณ์ผู้เคารพเทพเจ้า ได้ออกเผยแพร่ความเชื่อบอกว่า พราหมณ์เป็นวรรณะที่เกิดมาจากปากพรหม(เทพ) พระผู้มีพระภาคก็ถามพราหมณ์หนุ่มผู้มีสติปัญญาชื่อ "อัสสลายนะ" ทำไมถึงกล่าวว่า เหล่าพราหม์เป็นทายาทของพรหม
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “อัสสลายนะ นางพราหมณีของพราหมณ์ทั้งหลาย มีระดูบ้าง มีครรภ์บ้าง คลอดบุตรบ้าง ให้บุตรดื่มนมบ้าง ปรากฏอยู่ พราหมณ์เหล่านั้นซึ่งเป็นผู้เกิดจากโยนีเหมือนกัน "
จากประโยคดังกล่าวทำให้เราได้เห็นว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าสอนให้เราเป็นมนุษย์ที่มีสติปัญญา คิดด้วยเหตุผลที่เป็นความจริง
จากหลังฐานทางโบราณคดีรูปศิลาหินของคันธาระ ประเทศปากีสถาน ที่ขุดพบศิลปะนี้มีอายุประมาณสองพันปี บอกให้เราเห็นว่า เจ้าชายสิทธัตถะ ออกจากด้านข้างท้องแม่(พระนางสิริมหามายา) นางต้องเดินทางกลับมายังบ้านแม่คือบ้านยายของพระพุทธเจ้า
แน่นอนว่า เป็นไปได้ว่าคลอดยากมาก เพราะตั้งท้องถึง10 เดือนยังไม่คลอด และคาดว่าคลอดยาก เพราะส่วนศรีษะมิได้เคลื่อนตัวลงมายังฐานโยนี หมอถึงต้องผ่าออกด้านข้างของช่องท้อง
ภาวะที่ต้องคลอดในสวนในชนบท ก็เป็นไปได้ว่าสุขภาพของแม่ แผลและการติดเชื้อคงเป็นปัญหาใหญ่ เพียงแค่ 7 วันแม่ก็ต้องเสียชีวิต ต่อมาน้าสาวคือน้องของแม่ก็ดูแลพระพุทธเจ้าจนเติบใหญ่
จากรูปศิลาคันธาระที่เล่าเรื่องราวกำเนิดของพระพุทธเจ้า ก็แน่นอนว่าพระพุทธเจ้าก็รับรู้เรื่องราวการจากไปของแม่อย่างแน่นอน คงจะนึกคิดถึงเรื่องความทุกข์แห่งสังขารของการเกิดของแม่ไม่น้อย
แน่นอนว่าพระพุทธเจ้าก่อนจะออกบวช คงมีเวทนาสงสารแม่ไม่น้อยเมื่อระลึกถึงแม่
#พระปิยภาณี (ยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที)
*กราบขอบพระคุณ พระธรรมศากยวงศ์วิสุทธิ์ ที่ตั้งประเด็นให้ใช้ปัญญาค้นคว้าประวัติพุทธศาสนา
หมายเหตุ : ข้อมูลจากเฟซบุ๊ก Mee Nabon