xs
xsm
sm
md
lg

ถ้าจะเรียกร้องความชอบธรรม คนรุ่นใหม่ต้องต่อสู้อย่างชอบธรรม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ

การที่คนรุ่นใหม่หันมาสนใจการเมือง กระตือรือร้นเรื่องชาติบ้านเมือง เรียกร้องความเป็นธรรมในสังคมเป็นสิ่งที่ดี

แต่การออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านการประชุมเอเปคของคนจำนวนหนึ่งนั้นสะท้อนการต่อสู้อันสะเปะสะปะของคนรุ่นใหม่ พวกเขาเรียกร้องให้ยกเลิกการประชุมเอเปคซึ่งเป็นการประชุมที่มีแต่ก่อให้เกิดผลดีกับประเทศ ไม่ว่าฝ่ายไหนขึ้นมามีอำนาจรัฐในฐานะคนไทยก็ต้องสนับสนุนการจัดงานนี้ทั้งนั้น และแปลกมากที่พวกเขาคัดค้านแนวคิด BCG ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการประชุมเอเปคครั้งนี้


ทั้งที่ BCG เป็นแนวคิดที่ดีที่ต้องการสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม เน้นสร้างสมดุลมากกว่าสร้างผลกำไร โดยมีแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ- เศรษฐกิจหมุนเวียน- เศรษฐกิจสีเขียว

B คือ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio-economy) เป็นเศรษฐกิจที่เน้นการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพอย่างคุ้มค่า ควบคู่กับการรักษาสมดุลสิ่งแวดล้อม โดยใช้เทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าและบริการให้มีนวัตกรรมและมีมูลค่าสูง

C คือ เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เป็นเศรษฐกิจที่เน้นการใช้ทรัพยากรให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด ใน 3 เรื่องหลัก คือ การใช้งานผลิตภัณฑ์เต็มวงจร (Reuse, Refurbish, Sharing) การแปรสภาพเพื่อกลับมาใช้ใหม่ (Recycle, Upcycle) และการออกแบบผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตเพื่อให้เกิดของเสียน้อยที่สุด (Zero-Waste)

G คือ เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เป็นเศรษฐกิจมุ่งเน้นการลดผลกระทบต่อโลกอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม

งงไหมละครับว่าคนรุ่นใหม่ที่เรียกร้องความเท่าเทียมคนเท่ากันเรียกร้องประชาธิปไตย เรียกร้องรัฐสวัสดิการและชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีทำไมพวกเขาต้องคัดค้านสิ่งเหล่านี้ หรือว่าแท้จริงแล้วพวกเขาต้องการก่อกวนสร้างความวุ่นวายความเสียหายให้กับประเทศเพียงเพราะรัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่พวกเขาไม่ชอบ หรือเป็นเพราะพวกเขาถูกผู้ใหญ่บางคนดันหลังออกมาให้เล่นตามบทเพื่อดิสเครดิตรัฐบาลเท่านั้นเอง 

หรือว่าจริงๆ แล้วพวกเขาไม่มีประเด็นจะเคลื่อนไหวจึงต้องพยายามหาอีเว้นท์แม้ว่าอีเว้นท์และการเคลื่อนไหวนั้นจะไม่มีความชอบธรรมก็ตาม

หรือพวกเขาต้องการแสดงออกให้เห็นถึงความรู้สึกที่ถูกกล่าวหาว่าชังชาติตัวเองออกมา

เอเปคนั้นเป็นหน้าตาของประเทศไม่ใช่เรื่องของการแข่งขันเพื่อแย่งชิงอำนาจรัฐ เพราะอย่างที่บอกไม่ว่าฝ่ายไหนถืออำนาจรัฐอยู่ในขณะนั้น คนในชาติก็ต้องสนับสนุนการจัดงานออกมาให้ดีที่สุด เก็บความขัดแย้งในชาติเอาไว้ก่อน ยิ่งเชื่อมั่นว่าตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตยด้วยแล้ว ก็ต้องยอมรับและแสดงออกให้เห็นถึงความเข้าใจว่านี่เป็นวาระของโลกที่ผู้นำประเทศต่างๆ จะมาพูดคุยเพื่อแสวงหาแนวทางที่ดีร่วมกัน มันเป็นผลประโยชน์ของโลกและประชาชนทุกคน ไม่ใช่วาระการแย่งชิงอำนาจในชาติตัวเอง

แน่นอนว่าวาระครั้งนี้อาจทำให้คนบางคนไม่พอใจอกแตกตายเพราะปรามาสเอาไว้ประเทศไทยไม่มีใครเขาคบหาเพราะผู้นำสืบทอดอำนาจมาจากเผด็จการ แต่สุดท้ายทุกประเทศเขาก็รู้จักแยกแยะการเมืองภายในของแต่ละประเทศกับความสัมพันธ์ในฐานะมิตรประเทศออกจากกัน และผลประโยชน์ที่พวกเขาจะได้รับต่างหากที่เป็นเป้าหมายของแต่ละประเทศต้องการ

ผมไม่คิดหรอกว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะได้อานิสงส์อะไรมากมายในทางส่วนตัวจากการเป็นเจ้าภาพจัดงานครั้งนี้ แม้ว่าจะได้มีโอกาสสัมผัสมือกับผู้นำประเทศหลายประเทศ แต่ประเทศไทยต่างหากที่ได้ประโยชน์

คนที่รักพล.อ.ประยุทธ์ก็อาจจะชื่นชมที่จัดงานประสบความสำเร็จ แต่คนที่ไม่ชื่นชมก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะทำให้หันมาชื่นชมกับตัวพล.อ.ประยุทธ์ไม่ ไม่มีผลต่อคะแนนนิยมอะไรที่จะเกิดขึ้นต่อการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในปีหน้า เรียกว่าคนที่รักก็รักเหมือนเดิม คนที่เกลียดก็เกลียดเหมือนเดิม คนที่ยังคิดจะลงคะแนนให้ก็ลง ส่วนคนที่ไม่คิดจะลงให้ก็คงไม่ลงให้เหมือนเดิม แต่เราต้องรู้จักแยกแยะเรื่องภายในออกจากเรื่องของประเทศ ไม่ใช่เอาการเมืองไปใส่ลงในทุกเรื่อง

แต่เข้าใจครับว่าคนที่อยู่เบื้องหลังแกนนำคนรุ่นใหม่ที่ออกมาเคลื่อนไหวนั้น พวกเขาต้องการทำลายรัฐบาล ต้องการทำลายความชอบธรรมของรัฐบาล ไม่ได้สนใจหน้าตาของประเทศ แต่คนที่รับงานมาก็เหมือนกับประจานตัวเองว่า ไม่มีความคิดไม่รู้จักแยกแยะผิดถูกชั่วดี มันสะท้อนว่า ที่พวกเขาพูดเรื่องใหญ่กว่านี้พวกเขาเข้าใจจริงๆ หรือ โดยเฉพาะเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ที่พวกเขาออกมาท้าทายด้วยความฮึกเหิมก้าวร้าวจนถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 จำนวนมาก

ต้องยอมรับว่าการถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 จำนวนมากนั้นทำให้การเคลื่อนไหวของพวกเขาหยุดชะงักลง เพราะไม่ว่ารัฐไหนก็ต้องมีกฎหมายปกป้องประมุขของรัฐและต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาดทั้งนั้น และสุดท้ายคนหนุ่มสาวเหล่านั้นก็จะต้องถูกดำเนินคดีและถูกจองจำโดยที่คนที่ซ่อนอยู่ข้างหลังไม่สามารถช่วยเหลือได้

เพราะจริงๆ แล้วคนที่อยู่ข้างหลังที่ผลักดันให้คนรุ่นใหม่ออกมาท้าทายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ก็รู้ว่า การกระทำแบบไหนที่เข้าข่ายความผิดทางกฎหมาย แต่พวกเขาเหล่านั้นไม่กล้าเสี่ยงที่จะกระทำผิดเสียเอง เลยยุยงให้คนหนุ่มสาวที่อ่อนต่อโลกออกมาสู้ ดันพวกเขาให้ออกมาข้างหน้าและชื่นชมเยินยอว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นความกล้าหาญที่กล้าทลายเพดานของสังคมไทย

คนอย่างสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล จรัล ดิษฐาภิชัยอาจจะมีความกล้า เพราะพวกเขาอยู่ไกลเอื้อมมือของกฎหมายรัฐเพราะหนีไปอยู่ฝรั่งเศส แต่ทำไมคนอย่างชาญวิทย์ เกษตรศิริ คนอย่างพวงทอง ภวัครพันธุ์ คนอย่างอธึกกิต แสวงสุข คนอย่างประจักษ์ ก้องกีรติ คนอย่างปิยบุตร แสงกนกกุล ฯลฯ ทำไมไม่กระทำอย่างที่คนรุ่นใหม่โดนคดีมาตรา 112 เสียเอง ก็เพราะพวกเขารู้ว่า ถ้ากระทำอย่างนั้นจะต้องถูกดำเนินคดีและมีโอกาสติดคุก

ตอนนี้สิ่งที่พวกผู้ใหญ่ดันหลังเด็กพยายามต่อสู้ก็คือ การกล่าวหาว่ามาตรา 112 ละเมิดสิทธิเสรีภาพ ทั้งที่การดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายซึ่งเป็นบทต้องห้ามของมาตรานี้ไม่ใช่เรื่องของสิทธิเสรีภาพ แต่เป็นการปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาเรียกร้อง

เราจะเห็นว่าคนรุ่นใหม่ที่ออกมาพูดเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ เรื่องประชาธิปไตยนั้นจะมีความเข้าใจที่แท้จริงสักกี่คน สิ่งที่พวกเราเห็นจึงเต็มไปด้วยคำพูดที่หยาบคายและความรุนแรง เมื่อพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องเอเปกจึงพากันเข้ารกเข้าพง และแยกแยะไม่ได้ระหว่างผลประโยชน์ของประชาชนของประเทศชาติกับความเกลียดชังทางการเมืองเพียงเพราะถูกฝังโปรแกรมเอาไว้ในหัวเท่านั้น

ไม่ปฏิเสธหรอกว่าคนรุ่นใหม่นั้นมีชีวิตที่ยืนยาวกว่า ไม่ปฏิเสธหรอกว่าวันหนึ่งคนรุ่นใหม่จะต้องมาเป็นผู้กำหนดชะตาของประเทศแทนคนรุ่นเก่าที่ล้มหายตายจากไป ไม่ปฏิเสธหรอกว่ายากที่คนรุ่นเก่าจะต่อต้านกระแสของการเปลี่ยนแปลงถ้าคนรุ่นใหม่เขามีความคิดและทัศนคติไปในทางตรงกันข้าม แต่มั่นใจไหมละว่า สิ่งที่คนรุ่นใหม่จะขึ้นมาเปลี่ยนแปลงสังคมนั้นมันจะก่อให้เกิดสิ่งที่ดีกว่า หรือคิดว่าคนรุ่นเก่าหรือบรรพบุรุษของประเทศนี้ไม่ได้สร้างสิ่งที่ดีเอาไว้ให้กับประเทศเลย

บทเรียนแบบนี้เคยเกิดขึ้นกับคนรุ่นใหม่ในยุค 14 ตุลา 16 และ 6 ตุลา 19 มาแล้ว วันนี้คนรุ่นนั้นจำนวนไม่น้อยมองเห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นมีคูณูปการต่อประเทศนี้ ในวันที่คนไทยเกิดความแตกแยกก็เป็นดังทางออกในการทำให้คนไทยหันหน้าเข้าหากัน ก่อนหน้านั้นคนหนุ่มสาวในยุคนั้นก็มีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเช่นเดียวกัน แต่เมื่อมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นมีประสบการณ์มากขึ้น เขาก็เห็นว่าประเทศไทยนั้นมีเอกลักษณ์มีศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติที่จะต้องช่วยกันพิทักษ์รักษาไว้ อาจจะมีบางคนในยุคนั้นอยู่บ้างที่ยังมีอารมณ์เคียดแค้นและวันนี้พวกเขากำลังหลอกใช้คนรุ่นใหม่เป็นเครื่องมืออยู่นั่นเอง

แต่กว่าคนหนุ่มสาวยุคนั้นจะสำนึกได้ ก็ต้องใช้เวลาให้สถานการณ์คลี่คลายแต่ก็แลกมาด้วยการเสียชีวิตและเลือดเนื้อของคนในชาติที่คนไทยจับปืนหันมาต่อสู้กันเอง เพราะถูกปลูกฝังด้วยลัทธิคอมมิวนิสต์และเชื่อว่านั่นเป็นสิ่งที่ดีกว่า

แน่นอนว่าโลกของคนแต่ละรุ่นนั้นต่างกัน ความปรารถนาและความเร่าร้อนในช่วงแต่ละวัยของคนเรานั้นแตกต่างกัน คนรุ่นใหม่วันนี้อาจจะมีความคิดที่เปลี่ยนไปในวันข้างหน้า ไม่ได้หมายความอุดมการณ์ของเขาเปลี่ยนแปลงไป แต่เพราะเขามีโลกทัศน์ที่กว้างไกลกว่าเดิม และมีประสบการณ์ที่มากขึ้นวันนั้นพวกเขาอาจจะเข้าใจสังคมไทยมากขึ้น

ไม่ผิดอะไรหรอกที่คนรุ่นใหม่จะสนใจการเมือง ตั้งคำถามต่อความไม่ชอบธรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น และเรียกร้องให้เกิดสิ่งที่ดีขึ้นในสังคม แต่ต้องย้อนกลับไปถามตัวเองว่าสิ่งที่ทำอยู่วิธีการที่ทำอยู่นั้นถูกต้องชอบธรรมแล้วหรือไม่

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น