หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
ไม่ต้องสงสัยว่าพรรคเพื่อไทยจะเป็นพรรคอันดับ 1 ในการเลือกตั้งเช่นเดียวกับการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว เหลือเพียงแต่ว่าจะชนะมากแค่ไหนเท่านั้นเอง
ล่าสุดซูเปอร์โพลได้ชื่อว่าเป็นโพลที่เชียร์รัฐบาลมาตลอด ไม่ว่าสำรวจครั้งไหนคะแนนนิยมของฝั่งรัฐบาลดีเสมอ แต่มาครั้งล่าสุดยอมรับแล้วว่า พรรคเพื่อไทยมีโอกาสแลนด์สไลด์สูงโดยจะเป็นอันดับ 1 ทั้งในภาคเหนือ ภาคอีสาน และกทม. โดยผลพบว่า พรรคเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้งในภาคอีสาน ร้อยละ 45.6 รองลงมาคือภาคเหนือ ร้อยละ 32.9 ในกรุงเทพมหานคร ร้อยละ 29.6 แต่มีจุดด้อยในภาคกลางร้อยละ 8.0 และในภาคใต้ร้อยละ 6.3 ตามลำดับ
โดยซูเปอร์โพลระบุว่าพรรคเพื่อไทยจะได้ที่นั่งบัญชีรายชื่อประมาณ 25 ที่นั่ง
ดังนั้นแม้ว่าซูเปอร์โพลจะบอกว่าพรรคเพื่อไทยมีโอกาสจะแลนด์สไลด์สูง แต่ถ้าผลออกตามผลสำรวจนี้พรรคเพื่อไทยก็ยังไม่สามารถได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งคือ 250 คนที่จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ แต่พรรคเพื่อไทยจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ก็ยังไม่แน่ ต้องรอผลว่าพรรคก้าวไกลจะได้เท่าไหร่
ถ้าผลเลือกตั้งของพรรคก้าวไกลรวมกับพรรคเพื่อไทยได้เกิน 250 คน ก็เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะมีโอกาสเป็นแกนนำรัฐบาลสูง เพราะมีอำนาจต่อรองว่าอาจจะจับมือกับพรรคก้าวไกลตั้งรัฐบาล เพื่อกดดัน 250 สว. เพราะถ้าเป็นเช่นนี้พรรคร่วมรัฐบาลในปัจจุบันจะมีเสียงรวมกันไม่ถึงกึ่งหนึ่งคือไม่ถึง 250 คน
ถึงแม้ฝั่งพรรคร่วมรัฐบาลตอนนี้จะรวมกับ 250 ส.ว.ที่ยกมือให้สามารถได้เสียงเกินครึ่งของรัฐสภาคือ เกิน 375 คน จากส.ส.และส.ว. 750 คน แล้วพยายามแข็งขืนเป็นรัฐบาลให้ได้ก็บริหารประเทศไม่ได้ เพราะจะมีเสียงในสภาผู้แทนราษฎรไม่เกินกึ่งหนึ่ง และถึงจะยอมเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนไว้ก่อนเพื่อเอาอำนาจแล้วยุบสภาก็คิดหรือว่าถ้าเลือกตั้งใหม่ผลการเลือกตั้งจะแปรผันไปจากเดิม
แต่ผมก็คิดว่าถ้าพรรคเพื่อไทยมีเสียงรวมกับพรรคก้าวไกลเกิน 250 คน ทักษิณก็จะใช้พรรคก้าวไกลเป็นเกมเพื่อกดดันเท่านั้น แต่จะไม่รวมกับพรรคก้าวไกลตั้งรัฐบาล แต่จะบีบให้พรรคพลังประชารัฐหรือพรรคภูมิใจไทยเข้าร่วมตั้งรัฐบาล เพราะผมคิดว่าทักษิณก็คงรู้ว่า พรรคก้าวไกลซึ่งมีทัศนคติที่ท้าทายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้นเขาไม่อาจจะให้พรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาลได้ เพราะจะทำให้รัฐบาลเป็นปฏิปักษ์กับอุดมการณ์ของรัฐทันที และเสี่ยงมากที่จะเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองอีกครั้ง
แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลรวมตัวกันได้ไม่ถึงกึ่งหนึ่งคือ 250 คน ผมคิดว่า แต้มต่อจะมาอยู่กับฝั่งร่วมรัฐบาลตอนนี้ เพราะเสียงของ 250 ส.ว.จะกดดันให้มาร่วมรัฐบาลกับฝั่งนี้ แต่ใครจะเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับพรรคภูมิใจไทยก็ต้องดูผลการเลือกตั้งว่าใครจะได้มากกว่า แต่ถ้าดูตามรูปทรงตอนนี้พรรคภูมิใจไทยมีแนวโน้มที่ดีกว่า
สถานะของพรรคพลังประชารัฐนั้นต้องดูว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเอาอย่างไรจะยังเป็นแคนดิเดตให้พรรคพลังประชารัฐเสนอชื่อหรือไม่ ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ยังยอมให้เสนอชื่อ แม้สถานการณ์จะแย่ลงกว่าเก่าได้ส.ส.น้อยลงกว่าครั้งที่แล้วเพราะกำลังอยู่ในช่วงขาลงแต่ก็จะยังพอจะไปได้ในพื้นที่ภาคใต้และกทม. แต่ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ไปอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติทั้งสองพรรคคือพรรคพลังประชารัฐกับพรรครวมไทยสร้างชาติก็จะตัดคะแนนกันเองและคงจะกอดคอพ่ายแพ้กันไปทั้งสองพรรค
ตอนนี้สถานการณ์ของฝั่งนี้จึงอยู่ที่พล.อ.ประยุทธ์จะตัดสินใจอย่างไร และส.ส.ในพรรคพลังประชารัฐหลายคนก็คงรอการตัดสินใจของพล.อ.ประยุทธ์ ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ไม่อยู่แล้วหลายคนก็อาจจะย้ายพรรคตามไปหรือไม่ก็หนีไปอยู่พรรคอื่น และถ้าสถานการณ์เป็นอย่างนี้ฝั่งพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันก็คงต้องหวังพึ่งพรรคภูมิใจไทยพรรคเดียว
ส่วน พรรคประชาธิปัตย์ นั้นไม่น่าจะกระเตื้องขึ้นในการเลือกตั้งครั้งนี้ แค่ประคองตัวให้ได้ส.ส.ไม่น้อยกว่าเดิมก็น่าจะยากแล้ว เพราะ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคนั้นไม่มีจุดขาย ขนาดนิด้าโพลไปถามคนใต้จุรินทร์ยังมาเป็นอันดับ 6 แพ้ทั้งแพทองธาร ชินวัตร พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพล.ต.อ.เสรีพิสุทธ์ เตมียาเวช ด้วยซ้ำไป โดยซูเปอร์โพลบอกว่า พรรคประชาธิปัตย์ ภาคใต้ได้ร้อยละ 24.3 ภาคกลางได้ร้อยละ 11.5 ภาคเหนือได้ร้อยละ 11.2 กรุงเทพมหานครได้ร้อยละ 7.4 และภาคอีสานได้ร้อยละ 3.7 ตามลำดับ
จะเห็นว่าในภาคใต้ของซูเปอร์โพลพรรคประชาธิปัตย์เป็นรองพรรคพลังประชารัฐ และมีแต้มเหนือกว่าพรรคภูมิใจไทยเล็กน้อย แต่มีคะแนนน้อยมากในกทม.ซึ่งเคยเป็นฐานในอดีตและแพ้หมดทุกเขตในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ครั้งหน้าในกทม.ก็มีโอกาสสูงที่จะเป็นเช่นนั้นอีก
ดังนั้นผลสำคัญที่สุดในการเลือกตั้งครั้งหน้าคือ ถ้าพรรคเพื่อไทยรวมกับพรรคก้าวไกลแล้วได้เกิน 250 คน อำนาจต่อรองจะอยู่ในมือของทักษิณทันที แต่เชื่อว่าทักษิณก็รู้ว่า หากเขาเอาพรรคก้าวไกลมาร่วมรัฐบาล รัฐบาลของเขาก็จะมีสถานะที่ไม่มั่นคง เพราะพรรคก้าวไกลนั้นเป็นพรรคพรรคที่ล่อมือล่อตีนของฝ่ายความมั่นคง
แม้กระทั่งเป็นพรรคฝ่ายค้านในขณะนี้พรรคก้าวไกลก็ยังแสดงตัวชัดเจนว่าสนับสนุนม็อบที่เรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ และอภิปรายโจมตีการใช้งบประมาณของส่วนพระมหากษัตริย์ ถ้าพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาลก็ยากจะเป็นพรรคที่จะควบคุมได้ เพราะพรรคนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะลดทอนลบทบาทและสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดแจ้ง
ส่วนตัวผมจึงไม่เชื่อเลยว่า ทักษิณจะกล้าหักหาญให้พรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคก้าวไกล
ดังนั้นก็จะเป็นไปอย่างที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น ถ้าผลเป็นอย่างนั้นแม้พรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลมีเสียงรวมกันเกินครึ่ง แรงบีบของพรรคเพื่อไทยก็อาจจะบีบให้ฝ่ายอนุรักษนิยมยอมจำนนให้พรรคการเมืองฝ่ายนี้เช่นพรรคพลังประชารัฐและพรรคภูมิใจไทยไปร่วมกับพรรคเพื่อไทยเพื่อจะเป็นรัฐบาลเพื่อกันพรรคก้าวไกลออกไป โดยพรรคที่ไม่น่าจะไปร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยแน่ๆ ก็คือพรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้นพรรคที่จะเป็นฝ่ายค้านก็คือพรรคก้าวไกลและพรรคประชาธิปัตย์ โดยหัวหน้าพรรคก้าวไกลคือพิธาจะเป็นหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน เพราะมีโอกาสที่จะได้มากกว่าพรรคประชาธิปัตย์
ถ้าเป็นเช่นนี้พล.อ.ประยุทธ์ก็จะหลุดจากสมการทันทีเพราะคงไม่เอาด้วยแน่แม้จะถูกพรรคพลังประชารัฐเสนอชื่อ ดังนั้น ถ้าพรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐ กับพรรคภูมิใจไทยจับมือกันก็ต้องดูว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี แม้พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคอันดับ 1 เสนออุ๊งอิ๊ง แพทองธารเป็นนายกรัฐมนตรีก็อาจจะไม่แน่ว่าจะได้เป็น ในขณะที่พรรคพลังประชารัฐก็อาจจะเป็นพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณที่ได้รับการเสนอชื่ออีกคน หรือนายอนุทิน ชาญวีรกุล แคนดิเดตของพรรคภูมิใจไทย
ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี ก็อาจจะไม่ใช่การตัดสินกับที่ตัวเลขจำนวนส.ส. อาจจะมีข้อเสนอที่ไม่อาจปฏิเสธได้ที่มาจากอำนาจเหนือกว่า ถึงตอนนั้นทักษิณจะยอมไหม ถ้าเป้าหมายของเขาคือการได้กลับบ้านมาเลี้ยงหลานแล้วยอมเปิดทางให้คนอื่นขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี
ตอนนี้ต้องยอมรับว่าโอกาสในการตังรัฐบาลของฝั่งพรรคเพื่อไทยมีมากกว่า แต่ถามว่ามีโอกาสไหมที่พรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันจะยังได้เสียงรวมกันเกินกว่าครึ่ง ก็ต้องบอกว่า ก็ยังจะพอมีโอกาสอยู่ แต่น่าจะน้อยกว่าโอกาสของฝั่งพรรคเพื่อไทยมาก ถ้าติดตามกระแสและดูโพลต่างๆ หลายโพลซึ่งส่วนใหญ่ออกไปในทิศทางเดียวกันหมดแล้วว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะมากต่างกับการชนะในครั้งที่แล้วแต่จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้
มีบางคนพูดกับผมว่า หากพรรคเพื่อไทยจับมือกับพรรคพลังประชารัฐตั้งรัฐบาลก็อาจจะเป็นข้อดีที่ทำให้มวลชนสองฝั่งหันมาเป็นแนวร่วมกันเกิดความสามัคคีในชาติและลอยแพพรรคก้าวไกลที่เป็นอันตรายออกไป
บางทีนี่อาจเป็นทางออกที่จะทัดทานกระแสคลื่นของคนรุ่นใหม่ที่ท้าทายต่อรูปแบบและระบอบของรัฐ และหยุดยั้งโศกนาฏกรรมที่อาจเกิดขึ้นไปได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan