หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
การเลือกตั้งครั้งที่แล้วแม้ว่าพรรคอนาคตใหม่จะมีกระแสร้อนแรงในหมู่คนรุ่นใหม่คนวัยทำงาน แต่การยุบพรรคไทยรักษาชาติและการที่พรรคเพื่อไทยส่งไม่ครบทุกพื้นที่ อาจทำให้เราคิดว่า ยังไม่สามารถวัดเสียงจริงของพรรคอนาคตใหม่ได้ ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งหน้าที่จะสู้กันระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลจะเป็นตัววัดความร้อนแรงจริงของพรรคก้าวไกลที่เป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ได้ว่าเป็นของจริงหรือของปลอม
เราคงรู้กันอยู่แล้วว่าพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลนั้นมีฐานเสียงที่ทับซ้อนกันนั่นคือคนที่เรียกตัวเองว่า เป็นคนเสื้อแดง คนที่เป็นพวกลิเบอรัล คนที่ไม่เอารัฐประหาร คนที่มีคำถามต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
ส่วนคนรุ่นใหม่ในวัยทำงานคนที่อยู่บนฐานภาษีเงินได้ ส่วนใหญ่นิยมพรรคก้าวไกลซึ่งดูได้จากการจ่ายเงินภาษีอุดหนุนพรรคการเมืองในรอบปี 2564 อันดับ 1.พรรคก้าวไกล มีจำนวนผู้บริจาค 62,634 ราย ได้รับเงินบริจาค 27,564,203.77 บาท ซึ่งปีที่แล้วได้รับบริจาคเงินภาษีปี2563 จำนวน 12,695,738.77 บาท เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว โดยมีอันดับ 2 ตามมาห่างๆ คือ พรรคประชาธิปัตย์จำนวนผู้บริจาค 10,328 ราย ได้รับเงินบริจาค 3,435,342.03 บาท
แม้ว่ายอดจ่ายเงินภาษีพรรคการเมืองจะเป็นเพียงคนหลักแสนต้นๆ แต่ก็สะท้อนทิศทางของคนวัยทำงานได้ดีกว่าพวกเขามีความนิยมต่อพรรคก้าวไกล
*ต้องยอมรับว่าพรรคก้าวไกลที่รวบรวมคนหนุ่มคนรุ่นใหม่เอาไว้ในพรรคจำนวนมากได้แสดงบทบาทของเขาในสภาผู้แทนราษฎรได้อย่างโดดเด่นเมื่อเทียบกับนักการเมืองหน้าเก่า เพราะได้สะท้อนออกมาให้เห็นถึงความรู้ความเข้าใจต่อเรื่องราวต่างๆ ที่ถ่ายทอดออกมาว่ามีการศึกษาและการทำการบ้านมาอย่างดี แม้จะมีบางคนที่ติดการใช้โวหารมากกว่าเนื้อหาแบบนักการเมืองรุ่นเก่าอยู่บ้างแต่ก็เป็นส่วนน้อย เรียกได้ว่าเป็นนักการมืองคุณภาพก็ว่าได้
*น่าเสียดายที่พรรคการเมืองพรรคนี้ถูกครอบงำด้วยความคิดของกลุ่มผู้ก่อตั้งพรรคที่ต้องการลดทอนบทบาทและสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ทำให้ถูกมองว่า เป็นพรรคล้มเจ้า มีคนในพรรคก้าวไกลเคยพูดกับผมว่า ถ้าพรรคนี้ไม่ไปยุ่งกับสถาบันพระมหากษัตริย์ก็น่าจะได้รับการเลือกตั้งเข้ามามากกว่านี้ เพราะจะมีฐานเสียงกว้างขึ้นไม่ใช่เฉพาะแต่คนรุ่นใหม่ หรือเฉพาะกลุ่มคนที่ไม่เอาเจ้า
แน่นอนว่าพรรคก้าวไกลต้องชิงฐานมวลชนเดียวกับพรรคเพื่อไทยไม่มีมวลชนฝั่งอนุรักษนิยมสวิงมาเลือกอีกฝั่งแน่ แต่ต้องยอมรับว่ามีมวลชนจำนวนไม่น้อยที่เป็นคนกลางๆที่ไม่ได้เป็นฐานมวลชนของฝ่ายไหนชัดเจน คนกลุ่มคนเหล่านี้ต่างหากที่จะเป็นตัวตัดสินว่าฝ่ายไหนจะชนะเลือกตั้ง ซึ่งต้องยอมรับว่า การครองอำนาจมาอย่างยาวนานของรัฐบาลประยุทธ์นั้นทำให้คนจำนวนไม่น้อยต้องการความเปลี่ยนแปลง
แต่น่าสนใจว่าคนกลางๆ เหล่านั้นถ้าไม่เลือกฝั่งพรรคร่วมรัฐบาลเดิมเขาจะเทเสียงให้ใครระหว่างพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทย ถ้าทั้งสองพรรคต่างก็ชูแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเป็นคนรุ่นใหม่คือ แพทองธาร ชินวัตรของพรรคเพื่อไทยวัย 36 ปี กับพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากพรรคก้าวไกล วัย 42 ปี อายุเท่ากับฤษี สุนักนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอังกฤษพอดี
โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นฐานเสียงของคนชั้นกลางซึ่งพวกเขาได้สะท้อนผ่านการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.และสก.มาแล้วว่า สก.ส่วนใหญ่ที่ได้รับเลือกตั้งในกทม.นั้นมาจากพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล และล่าสุดนิด้าโพลซึ่งเป็นโพลที่มีความน่าเชื่อถือสำรวจพบว่า พรรคที่อยู่ในใจของคนกรุงเทพฯก็คือพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย
จากการสำรวจเมื่อถามถึงบุคคลที่คนกรุงเทพมหานครจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 20.40 ระบุว่าเป็น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พรรคก้าวไกล เพราะ เป็นคนมีความมุ่งมั่น มีความรู้ความสามารถ เป็นคนรุ่นใหม่ และชื่นชอบนโยบายของพรรคก้าวไกล อันดับ 2 ร้อยละ 15.20 ระบุว่าเป็น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะ เป็นคนมีความซื่อสัตย์ ชื่นชอบผลงาน ทำให้บ้านเมืองสงบ และต้องการ ให้บริหารประเทศอย่างต่อเนื่อง อันดับ 3 ร้อยละ 14.10 ระบุว่าเป็น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พรรคเพื่อไทย เพราะ เป็นคนมีความรู้ความสามารถ และต้องการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารประเทศ อันดับ 4 ร้อยละ 12.20 ระบุว่า ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ อันดับ 5 ร้อยละ 7.70 ระบุว่าเป็น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ พรรคไทยสร้างไทย เพราะ เป็นคนมีความน่าเชื่อถือ มีประสบการณ์ทำงานทางการเมือง
สำหรับพรรคการเมืองที่คนกรุงเทพมหานครมีแนวโน้มจะเลือกให้เป็น ส.ส. แบบแบ่งเขต ในวันนี้ พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 28.50 ระบุว่าเป็น พรรคเพื่อไทย อันดับ 2 ร้อยละ 26.45 ระบุว่าเป็น พรรคก้าวไกล อันดับ 3 ร้อยละ 9.50 ระบุว่าเป็น พรรคพลังประชารัฐ และยังไม่ตัดสินใจ ในสัดส่วนที่เท่ากัน อันดับ 4 ร้อยละ 9.45 ระบุว่าเป็น พรรคประชาธิปัตย์ อันดับ 5 ร้อยละ 3.05 ระบุว่าเป็น พรรคชาติพัฒนากล้า อันดับ 6 ร้อยละ 2.90 ระบุว่าเป็น พรรคไทยสร้างไทย อันดับ 7 ร้อยละ 2.75 ระบุว่าเป็น พรรคเสรีรวมไทย อันดับ 8 ร้อยละ 2.10 ระบุว่าเป็น พรรคภูมิใจไทย อันดับ 9 ร้อยละ 2.05ระบุว่าเป็น พรรคกล้า อันดับ 10 ร้อยละ 1.15 ระบุว่าเป็น พรรคสร้างอนาคตไทย
จะเห็นว่า นายพิธามีคะแนนเป็นอันดับ 1 ในประเภทบุคคลที่คนกทม.เห็นว่าควรจะเป็นนายกรัฐมนตรี แต่พรรคเพื่อไทยเป็นอันดับ 1 ที่คนกรุงเทพฯจะเลือกส.ส.ของพรรค ก็เป็นไปได้ว่า ในการเลือกตั้งแบบบัตรสองใบ ใบหนึ่งเขาอาจจะลงคะแนนเลือกส.ส.พรรคเพื่อไทย แต่ลงคะแนนพรรคให้พรรคก้าวไกล
ดังนั้นพรรคที่จะแย่งคะแนนและทำลายความหวังของพรรคเพื่อไทยที่จะชนะแบบแลนด์สไลด์ก็คือพรรคก้าวไกลนี่เอง แม้ว่าพรรคเพื่อไทยจะได้เปรียบในต่างจังหวัดเช่นอีสานและภาคเหนือ แต่ผลการเลือกตั้งเมื่อปี 62 ที่ตอนนั้นพรรคอนาคตใหม่ยังไม่มีผลงานอะไรมีแต่กระแสก็ยังสามารถเบียดกับพรรคเพื่อไทยได้ในหลายพื้นที่ แต่ตอนนี้คนจำนวนมากเขาเห็นบทบาทของพรรคก้าวไกลแล้วก็เชื่อว่า พรรคก้าวไกลสู้จริงและมีความโดดเด่นมากกว่าพรรคเพื่อไทย
ก็ต้องพิสูจน์กันว่าความสดของพรรคก้าวไกลกับความเก๋าในพื้นที่ของพรรคเพื่อไทยมวลชนฝั่งนี้จะเลือกใคร
แต่ที่กล่าวไว้แล้วว่า การที่พรรคการเมืองนี้มีแนวคิดที่ต้องการลดทอนบทบาทและสถานของสถาบันพระมหากษัตริย์ ความพยายามจะแก้ไขมาตรา 112 ที่เป็นกฎหมายปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ให้ถูกดูหมิ่น หมิ่นประมาท และอาฆาตมาดร้ายในสถานะประมุขของประเทศ หรือการอภิปรายวิพากษ์วิจารณ์งบประมาณในส่วนราชการในพระองค์ การสนับสนุนม็อบที่ออกมาเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ทำให้ไม่มีพรรคการเมืองไหนที่อยากจะร่วมงานด้วย
ดังนั้นแม้การเลือกตั้งครั้งหน้าหากพรรคก้าวไกลมีเสียงรวมกับพรรคเพื่อไทยเกิน 250 เสียงก็เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่ร่วมกับพรรคก้าวไกลตั้งรัฐบาล เพราะเป้าหมายของทักษิณนั้นชัดเจนว่าเขาต้องการกลับประเทศที่แทบจะมีทางเลือกเดียวคือต้องยอมกลับมาติดคุกก่อนและขอพระราชทานอภัยโทษ ดังนั้นทักษิณย่อมจะเข้าใจดีว่า เขาจะต้องแสดงออกมาอย่างไรเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตัวเองต้องการ
วันนี้พรรคเพื่อไทยก็พูดเปิดทางไว้แล้วว่า พร้อมจะร่วมตั้งรัฐบาลกับทุกพรรคหากได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
พรรคก้าวไกลแม้จะยืนอยู่ฝั่งที่เรียกตัวเองว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย แต่ก็กลายเป็นคู่แข่งกับพรรคเพื่อไทยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ด้านหนึ่งพรรคก้าวไกลจะเป็นตัวฉุดรั้งคะแนนของพรรคเพื่อไทยที่แย่งชิงฐานมวลชนเดียวกันในหลายพื้นที่ การตัดคะแนนกันเองก็อาจจะทำให้แพ้พรรคการเมืองอื่นซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามได้
อย่างไรก็ตามแม้ว่าพรรคก้าวไกลจะเป็นคลื่นของอนาคตเป็นความหวังของคนรุ่นใหม่จำนวนมาก แต่การเลือกตั้งครั้งที่จะถึงนี้ก็ยังไม่น่าจะพลิกผันผลการเลือกตั้งแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้ และยากที่เราจะได้เห็นพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาลได้เว้นเสียแต่ว่าผู้คนจะเทคะแนนให้พรรคก้าวไกลอย่างถล่มทลาย
แต่ ณ เวลานี้ผมยังเชื่อว่าเป้าหมายของพรรคก้าวไกลจะไม่มีวันสมหวังในเร็ววัน เพราะคนไทยจำนวนมากที่เชื่อมั่นในสถาบันพระมหากษัตริย์ยังมีชีวิตอยู่
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan