ไม่ว่าจะ “มองโลกในแง่ดี” หรือ “มองโลกในแง่ร้าย” ...ต้องถือว่า “ไม่ถูกเรื่อง” ไปด้วยกันทั้งสิ้น!!! มีแต่ต้องพยายามหาทาง “มองโลกในแง่จริง” หรือมองไปตามข้อมูล-ข้อเท็จจริงนั่นแหละ ถึงจะ “เข้าท่า” ที่สุด ด้วยเหตุนี้...ปิดท้ายสัปดาห์นี้เลยคงต้องสารภาพแบบตรงไป-ตรงมา ว่าโดยแนวโน้มความเป็นไปของสถานการณ์โลกในช่วงนี้ ออกจะเป็นอะไรที่น่ากระอักกระอ่วนใจ ชนิดมิอาจสรุปได้ว่าออกไปในแนว “บวก” หรือ “ลบ” กันแน่???
เหมือนอย่างที่ “นักคิด” ชาวรัสเซีย “นายTimofey Bordachev” ผู้อำนวยการสโมสร “Valdai Club” ท่านสรุปไว้ในข้อเขียน บทความ ชิ้นล่าสุด ว่าด้วยเรื่อง “Western Hegemony is coming to an end, and the world is about to enter a very dangerous period.” อะไรประมาณนั้น คือแม้ว่าค่อนข้าง “ชัวร์” ว่ายังไงๆ การครองโลก ครอบงำโลกทั้งโลก มาตลอดช่วงระยะเกือบ 500 ปีของ “โลกตะวันตก” นับแต่ยุคแห่งการปล้นชิงอาณาจักรแต่ละอาณาจักรเอาดื้อๆ ก่อนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นยุคแห่งการครอบครอง-ควบคุม “อาณานิคม” ไปจนยุคแห่งการแต่งเติม สีสัน ให้กลมกลืนยิ่งขึ้นด้วยกรรมวิธีที่เรียกๆ กันว่ายุค “อาณานิคมแผนใหม่” จนกระทั่งล่าสุดด้วยการอาศัย “โลกาภิวัตน์จากด้านบน” หรือโลกาภิวัตน์ที่ขับเคลื่อนโดยทุนนิยมเสรีเป็นเครื่องมือ มาถึง ณ ขณะนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างน่าจะใกล้สิ้นสุด ยุติ ไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มีอยู่แล้วแน่ๆ แต่นั่น...คงไม่ใช่เรื่องที่น่าสบายอก-สบายใจ น่าปลอดโปร่ง โล่งใจ มากมายสักเท่าไหร่นัก เพราะภายใต้ “ความสูญเสีย” อันมากมายมหาศาล ชนิดถึงขั้น “Westlessness” กันไปเป็นแถบๆ ย่อมต้องก่อให้เกิดการดิ้นรน ทุรนทุราย การเถลือกไถล จนสามารถทำให้โลกทั้งโลกเข้าสู่ช่วงภาวะ “อันตรายแบบสุดๆ” ได้ไม่ยากส์ส์ส์...
คือแม้ว่าโลกแทบจะทั้งโลก หรือ 143 ประเทศ ต่างเห็นพ้องต้องกันที่จะร่วมประณามศัตรูคู่แข่งของคุณพ่ออเมริกาและโลกตะวันตกอย่างหมีขาวรัสเซีย ในการผนวกดินแดน 4 เขต 4 แคว้นของยูเครนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ในที่ประชุมสหประชาชาติคราวล่าสุด แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ “พิธีการ” ไม่ใช่ “กระบวนการ” อย่างที่ว่าไว้แล้วนั่นแหละ หรือแทบไม่ได้หมายถึงโลกทั้งโลกจะไม่เอากับหมีขาวรัสเซียอีกต่อไปแล้ว ตรงกันข้าม...ความพยายามปลุกกระตุ้นและยั่วยุให้ใครต่อใครรุมเหยียบ รุมกระทืบ มหาอำนาจคู่แข่งของคุณพ่ออเมริกา ไม่ว่าจีนหรือรัสเซียก็ตามแต่ ให้จมกระเบื้อง จมธรณีให้จงได้ มาถึงขณะนี้ คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า ประสบ “ความล้มเหลว” โดยสิ้นเชิง!!!
ดูง่ายๆ...ได้จากข้อมูล ตัวเลข สถิติขององค์กรระหว่างประเทศที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการค้า การส่งออกของประเทศต่างๆ ทั่วทั้งโลกกว่านับร้อยๆ ประเทศ หรือองค์กรที่รู้จักในนาม “The Observatory of Economic Complexity” ที่สื่อตะวันตกอย่าง “The New York Times” ได้นำมาอ้างอิงเอาไว้เมื่อวัน-สองวันมานี้ ว่านับจากวันที่กองทัพรัสเซียตัดสินใจบุกยูเครนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา แม้ว่าโลกตะวันตกภายใต้การนำของคุณพ่ออเมริกาจะพยายามยั่วยุ ปลุกกระตุ้น ให้โลกทั้งโลกรุมเหยียบ รุมกระทืบ หมีขาวตัวนี้ ให้ฉิบหาย-วายวอดชนิดต่อหน้า-ต่อตาให้จงได้ ด้วยการงัดมาตรการ “แซงชั่น” แบบสุดโหด-มหาโหด ออกมาเล่นงานหมีขาวรัสเซียอย่างเป็นระบบและกิจการ แต่เอาไป-เอามาแล้ว...บรรดาประเทศต่างๆ จำนวนมิใช่น้อย ไม่เพียงแต่ไม่ได้เออๆ ออๆ ตามการชี้แนะ ชี้นำ ของโลกตะวันตกเท่านั้น แต่ยังกลับหันไปค้าๆ-ขายๆ หันมา “นำเข้า” และ “ส่งออก” สินค้าต่างๆ จากประเทศรัสเซีย แบบแทบไม่ได้สนใจการแบ่งขั้ว แบ่งข้าง ของฝ่ายตะวันตกเอาเลยแม้แต่น้อย...
ไม่ว่าจะคุณปู่อินตะระเดียที่หันมานำเข้าสินค้าจากรัสเซีย เพิ่มขึ้นถึง 430 เปอร์เซ็นต์ นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา คุณไก่งวงตุรกีหรือตุรเกีย ที่หันมานำเข้าสินค้ารัสเซียเพิ่มจากช่วงเท่าที่ผ่านมาถึง 213 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น ไม่ต่างไปจากยักษ์ใหญ่แห่งละตินอเมริกา อย่างบราซิลที่ยังคงอุตลุด-ชุลมุนวุ่นวายจากการเลือกตั้งครั้งล่าสุด แต่ก่อนหน้านั้นแม้จะอยู่ในยุคผู้นำฝ่ายขวาก็เถอะ การนำเข้าสินค้ารัสเซียของดินแดนแซมบ้า ยังเพิ่มไปถึง 166 เปอร์เซ็นต์ ส่วนคู่ค้าหรือหุ้นส่วนยุทธศาสตร์รายสำคัญอย่างคุณพี่จีน แม้ปริมาณการนำเข้าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 98 เปอร์เซ็นต์ แต่โดยมูลค่าถ้านับเป็นตัวเงิน ก็ต้องเรียกว่า...ระเบิดเถิดเทิงอีกเช่นกัน แม้แต่อภิมหาเศรษฐีน้ำมันแห่งตะวันออกกลางอย่างซาอุฯ การนำเข้าสินค้ารัสเซียก็มีแต่เพิ่มกับเพิ่มขึ้นไปถึง 45 เปอร์เซ็นต์ จนกระทั่งบรรดาประเทศพันธมิตรอเมริกาในยุโรป ก็ใช่ว่าจะเอาแต่ต่อต้าน ปฏิเสธ หมีขาวรัสเซียกันลูกเดียว กระทิงดุอย่างสเปนนั้น เพิ่มการนำเข้าสินค้ารัสเซียมากกว่าช่วงปกติไปถึง 112 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่เนเธอร์แลนด์นำเข้าเพิ่มขึ้น 74 เปอร์เซ็นต์ ญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 40 เปอร์เซ็นต์ เยอรมนีเพิ่ม 38 เปอร์เซ็นต์และนอร์เวย์เพิ่มขึ้น 21 เปอร์เซ็นต์ ฯลฯ มีแต่คุณพ่ออเมริกากับสุนัขพูเดิลอังกฤษเท่านั้น ที่ตัวเลขการนำเข้าสินค้ารัสเซียลดลงอย่างเห็นได้ชัด หรือลดลงตั้งแต่ 71 เปอร์เซ็นต์ ไปจนถึง 84 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ...
หรือสรุปง่ายๆ ว่า...ความพยายามชักชวนใครต่อใครให้รุมเหยียบ รุมกระทืบ หมีขาวรัสเซีย ด้วย “มาตรการแซงชั่น” สุดโหด-มหาโหด ระดับแทบไม่ต่างไปจาก “การประกาศสงคราม” โดยอ้อมเอาเลยก็ว่าได้ ไปๆ-มาๆ แล้ว...กลับไม่ได้ก่อให้เกิดความระคายเคืองใดๆ ต่อหมีขาวตัวนี้เอาเลยแม้แต่น้อย โดยศักยภาพทางการเมืองและการค้าของมหาอำนาจคู่แข่งอย่างรัสเซียหรือจีน ยังคงสามารถ “เดินหน้า” เขย่าบัลลังก์ “ประมุขโลก” ได้อย่างเป็นระบบเป็นกิจการต่อไปเรื่อยๆ แม้แต่ศัตรู-คู่กัดของอเมริกาและอิสราเอล อย่างอิหร่านก็เถอะ...ถึงจะถูก “แซงชั่น” ชนิดสุดโหด-มหาโหดไม่น้อยไปกว่ากันกว่า 4 ปีเข้าไปแล้วหรือตั้งแต่ปี ค.ศ. 2018 เป็นต้นมา แต่เมื่อวัน-สองวันมานี้นี่เอง ไม่ว่าผู้นำคนล่าสุด ประธานาธิบดี “Seyed Ebrahim Rayeesi” หรือรัฐมนตรีน้ำมัน “นายJavad Owji” ต่างออกมาประสานเสียงยืนหยัด ยืนยัน ว่าไปๆ-มาๆ แล้ว...การส่งออกน้ำมันอิหร่าน ที่คุณพ่ออเมริกาเคยป่าวประกาศว่าจะต่อต้านและบีบบังคับ ให้ลดลงๆ ไปจนเหลือ “ศูนย์” ให้จงได้ แต่มาถึง ณ วันนี้ ณ ช่วงขณะนี้ ด้วยความหายาก หาเย็น หรือด้วยภาวะขาดแคลนพลังงานที่รุมเร้าไปทั่วทั้งโลกนั่นเอง ส่งผลให้การส่งออกน้ำมันอิหร่านไปสู่ตลาดโลกมีแต่เพิ่มกับเพิ่ม จนมีปริมาณใกล้เคียงกับก่อนหน้าที่จะถูกแซงชั่นไปแล้วก็ว่าได้...
ภายใต้การแซงชั่น...ที่แทบ “ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง” เช่นนี้นี่เอง ที่ทำให้ความพยายามเพิ่มแรงกดดัน การยกระดับมาตรการลงโทษต่อมหาอำนาจคู่แข่งอย่างรัสเซียหรือจีน เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องกลายเป็นฝ่ายสูญเสีย ล่มสลาย พังทลายกันไปเป็นขบวนๆ หรือ “Westlessness” กันไปเป็นแถบๆ นับวันจึงเป็นไปในแบบดุเดือดเลือดพล่านยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ชนิดใกล้ๆ กลายเป็นการเปิดฉาก “สงครามโลกครั้งที่ 3” แบบตรงไป-ตรงมายิ่งเข้าไปทุกที เผลอๆ...อาจถึงขั้น “สงครามนิวเคลียร์” เอาเลยก็ไม่แน่!!! บรรดามวลมนุษยชาติอย่างเราๆ-ทั่นๆ ทั้งหลาย แม้ไม่รู้อีโหน่-อีเหน่ หรือไม่คิดยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งใดๆ ก็ตาม แต่สุดท้าย...หญ้าแพรกย่อมต้องแหลกราญจนได้ หรือจำต้องถูกฉุดลากกระชากถูให้เข้าสู่ช่วง “อันตรายแบบสุดๆ” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงไปเป็นอื่น...
ด้วยเหตุนี้นี่เอง...แม้ความพยายามควบคุม ครอบงำโลกทั้งโลก ของฝ่ายตะวันตกกว่า 500 ปีที่ผ่านมา กำลังทำท่าว่าอาจสิ้นสุดยุติอีกไม่นานนับจากนี้ แต่นั่นก็ใช่ว่า...จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่าง “สมูธ แอส ซิลค์” ลื่นไหลปานผ้าไหมการบินไทยก็หาไม่ ตรงกันข้าม...กลับทำให้แนวโน้มที่จะเกิดการเผชิญหน้าโดยตรง ปะ-ฉะ-ดะกันแบบมีแต่ต้องฉิบหายกันไปข้าง ยิ่งมีความเป็นไปได้สูงยิ่งเข้าไปทุกที หรือดังที่ “ด็อกเตอร์วันสิ้นโลก” “ศาสตราจารย์Nouriel Roubini” นักทำนายเศรษฐกิจ-การเมืองออกมาให้สัมภาษณ์นิตยสารเยอรมนี “Der Spiegel” ไปเมื่อวัน-สองวันมานี้นั่นแหละว่า “สงครามโลกครั้งที่ 3 ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้ว” เพราะไม่ว่าจะเป็นการค้า-การเงิน-เทคโนโลยี-อินเทอร์เน็ต ฯลฯ ต่างถูกนำไปแบ่งขั้ว แบ่งข้าง แยกพวก แยกฝ่ายระหว่างโลก 2 ขั้ว อย่างชนิดต่อยังไงก็ไม่ติดไปแล้วในทุกวันนี้ อันเป็นคำกล่าวที่ไม่ต่างไปจากประมุขจิตวิญญาณแห่งศาสนจักรคาทอลิก อย่างพระสันตะปาปา “ฟรานซิส” ที่เห็นไปในแนวเดียวกันก่อนหน้านั้นแล้ว...
อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้ประเทศเล็กๆ และแทบไม่รู้อีโหน่-อีเหน่ อย่างไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา อย่าเพิ่งด่วนไปร่าเริง ยินดี กับการได้เห็นนักท่องเที่ยวหนีหนาวเข้ามาในประเทศ จนสนามบินสุวรรณภูมิแทบแตก หรือกับเสถียรภาพพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ทนทาน ฯลฯ มากมายจนเกินไป สู้หันมาให้ความสำคัญกับ “เครือข่ายป้องกันทางสังคม” เอาไว้ให้จงหนัก หันมาพึ่งตนเอง หาทางยืนหยัดอยู่บนลำแข้งตนเองให้มากๆ เข้าไว้ น่าจะเข้าท่ากว่าเป็นไหนๆ หรือหันมายึดมั่นกับ “ความพอเพียง” กับ “เศรษฐกิจพอเพียง” ที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๙ ท่านทรงย้ำแล้ว ย้ำอีก ขณะยังมีพระชนม์ชีพอยู่นั่นเอง ถึงจะถือเป็นทางออก-ทางไป ที่สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ความเป็นไปของโลกเป็นอย่างยิ่ง...