การเมืองไทยที่ไร้อนาคตยังคงติดหล่มจมปลัก สาละวนอยู่กับคำถามซ้ำซาก “จะเอาลุงตู่หรือลุงป้อม” หรือจาก “ลุงตู่สู่ลุงป้อม” มีแค่นี้จริงๆ บ้านเมืองมีวิกฤตสาหัสขนาดนี้ พวกนักเลือกตั้งก็คิดกันได้แค่นี้จริงๆ คนดีมีความรู้ ความสามารถเผ่นหนี
รัฐบุรุษคิดถึงอนาคตของลูกหลาน นักเลือกตั้งคิดอยู่แต่เรื่องการเลือกตั้งครั้งต่อไป ไม่มีอะไรมากกว่าการพยายามกวาดต้อนคนที่มีโอกาสชนะเลือกตั้งให้เข้าพรรคมากที่สุด อย่างที่ว่าเป็น “พฤติกรรมตกปลาในบ่อเพื่อน” นั่นแหละ
จะไปโทษปลาก็ไม่ได้ เห็นเหยื่อก้อนใหญ่ ยั่วน้ำลายมาก็ต้องฮุบ
ยิ่งเหยื่อมีขนาด 30-50 กก.ด้วย ก็ถือว่าสุดแสนโอชะ อยู่ที่เดิมไม่ได้อย่างนี้ไปที่ใหม่ได้ดีกว่าก็ต้องไป ฝูงวัวควายเบื่อหน่ายฟางแห้งก็แสวงหาทุ่งหญ้าเขียวสด
เรื่องพรรค์นี้ เมื่อถึงเวลาจำเป็น ทุกคนต้องเห็นแก่ตัวเองก่อน
ปัญหาของพรรคพลังประชารัฐที่โยนมาให้สังคมตอบก็คือ “จะเอาลุงป้อมหรือลุงตู่” หรือ “จากลุงตู่สู่ลุงป้อม” นี่ไม่ใช่เรื่องต้องใช้เวลาถกเถียงให้มากเรื่อง
ไม่ใช่ว่าต้องให้ทั้งสองลุง ตกลงกันว่าเลือกตั้งครั้งต่อไปจะเอาใครเป็นคู่ชิงนายกฯ ประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่อง ลุงป้อมเป็นหัวหน้าพรรค ย่อมมีสิทธิสมบูรณ์ทุกประการ
ลุงป้อมเป็นแคนดิเดตชิงเก้าอี้นายกฯ ได้แน่ ส่วนลุงตู่เป็นคนนอก ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค ไม่เคยลงทุนอะไรในพรรค ไม่ร่วมกิจกรรมพรรค ชุบมือเปิบตีกินตลอด
อาศัยราคาความเป็นนักรัฐประหารต้นทุนต่ำ ไม่ต้องใช้รถถังปืนใหญ่ ก็อ้างว่าตนเองเหมาะสมสำหรับเก้าอี้นายกฯ ก็เป็นมาแล้วกว่า 8 ปี ทำเป็นตีมึนไม่รับรู้เวลา
โยนให้เป็นหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ 9 ท่านวินิจฉัยว่าลุงตู่อยู่ครบ 8 ปีหรือยัง ศาลมีคำวินิจฉัย 6:3 ว่ายังไม่ครบ ตุลาการ 3 เสียงข้างน้อยวินิจฉัยว่าอยู่ครบแล้ว แสดงคำวินิจฉัยส่วนตนมาเรียบร้อย ชาวบ้าน วิญญูชนอ่านแล้วมีเหตุผลสมบูรณ์
แต่พิลึกตรงที่ว่า 6 ตุลาการเสียงข้างมากยังไม่มีแย้มคำวินิจฉัยส่วนตนแม้แต่รายเดียว เป็นเหตุผลกลใด ติดปัญหาอึดอัดลำบากใจประการใด ยังไม่มีคำอธิบาย
สะท้อนให้เห็นความเห็นของนักกฎหมายทั้งหลายที่บอกว่า “เขียนให้ไม่หลุดนั้นง่าย เขียนให้หลุดนั้นยาก” มาถึงวันนี้ก็ต้องยอมรับว่า “ถ้าจะจริงดังว่า”
ดังนั้น พลังประชารัฐต้องตัดสินใจ คิดให้ดีก่อน หาเหตุผลประกอบให้ได้ว่าเมื่อลุงป้อมเป็นหัวหน้าพรรค มีปัญหาอะไรที่จะไม่ส่งเป็นผู้ชิงเก้าอี้นายกฯ
แล้วจะเป็นหัวหน้าพรรคไปทำไม ให้คนนอกชุบมือเปิบตีกินไม่สิ้นสุดหรือ
วิกฤตเศรษฐกิจของบ้านเมืองรุนแรง ลุงตู่เป็นนายกฯ มากว่า 8 ปี แต่ละปีกู้ตั้งแต่ 5-6 แสนล้านบาททุกปี เอามาอุดรูโหว่งบประมาณ กู้แบบไม่สิ้นสุด
ฉายานักกู้สิบทิศ กู้แบบไม่เกรงใจชาวบ้านคนเสียภาษี กู้แบบไม่กลัวว่าบ้านเมืองจะมีปัญหาหนี้ท่วมเหมือนอาร์เจนตินา เลบานอน ปากีสถาน ศรีลังกา
และก็เห็นชัดอยู่แล้วว่าลุงตู่ไม่มีฝีมือในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ไม่มีอะไรใหม่นอกจากกู้มาแจกในรายการประชานิยมถมไม่เต็มสารพัด เพื่อความอยู่รอด
อยู่ไปแต่ละวันไม่มีทางออกให้ปัญหาของประเทศ ช่วงหลังจากศาลรัฐรัฐธรรมนูญพักงาน 1 เดือน กลับมาก็ไม่เหมือนเดิม บารมีไม่แข็งกล้า ราศีหมอง
คงรู้อยู่แก่ใจ กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง เป็นนายกฯ มาครบ 8 ปีแล้ว แม้จะหนาสักเพียงไรอย่างน้อยเยื่อจิตสำนึกคงยังมีเหลือว่าตัวเองโกงเวลา
ถ้าคอร์รัปชันเวลาได้ ทำกันอย่างซึ่งหน้าอย่างนี้ ไม่กลัวว่าใครจะประณามว่าไร้ยางอาย นับเลขไม่เป็น นับประสาอะไรกับเรื่องอื่นๆ ที่จะเป็นปัญหาความน่าเชื่อถือ
ด้วยเหตุนี้ จึงเห็นว่าพยายามหลบหน้าหลบตาชาวเมืองหลวง มักหลบไปต่างจังหวัดที่มีคนจัดกองเชียร์ไว้ต้อนรับ ให้ชื่นหัวใจ แม้จะรู้ว่าเป็นการแหกตาก็ตาม
อยู่ได้เพราะหลอกตัวเองว่าได้รับความนิยม ตัวเองเป็นคนที่ประเทศนี้จะขาดไม่ได้ ทั้งที่มีหลักฐานพิสูจน์แล้วว่าช่วงถูกพักงาน ลุงป้อมรักษาการแทนบ้านเมืองก็ไม่ได้ล่มจมแต่อย่างใด กลับได้รับเสียงชื่นชมว่ารู้จิตวิทยามวลชนเป็นอย่างดี
ล่าสุดลูกพรรคลุงป้อมโยนหินถามทางว่าน่าจะให้ “หม่อมอุ๋ย” ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล มาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ มาแก้ปัญหาของประเทศ มีประสบการณ์มาก
“หม่อมอุ๋ย” เคยเป็นผู้บริหารระดับสูงธนาคารกสิกรไทย เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นรัฐมนตรีคลัง เป็นรองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ ความรู้ดี อินเตอร์ด้วย
เป็นเพื่อนเรียนโรงเรียนเซนต์คาเบรียลกับลุงป้อมตั้งแต่วัยเด็ก มึงกูกันได้สบาย
คราวก่อนมาเป็นรองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจช่วงแรกรัฐบาลลุงตู่ แต่มีปัญหากับหัวหน้ารัฐบาล ไม่ลงรอยกันหลายเรื่อง จนต้องถูกปรับออกไป เอาคุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์มาแทน แม้กระนั้นก็อยู่ได้ไม่นานเพราะแรงเสียดทานจากหัวหน้ารัฐบาล
ปัญหาของหม่อมอุ๋ยคือเป็นคนโผงผาง ยอมหักไม่ยอมงอ เชื่อมั่นในตัวเองสูง และไม่ยอมทำงานให้หัวหน้าที่โง่กว่าตน แถมยังมีเรื่องริษยาตาร้อนอีกต่างหาก
ในคณะรัฐมนตรี ใครจะเก่งกว่า “ท่าน” ไม่ได้ ห้ามโต้แย้ง แม้เป็นฝ่ายถูก
“หม่อมอุ๋ย” ไม่ทนกับความงี่เง่าของคนมีอำนาจ ก็ต้องไป วิพากษ์วิจารณ์ไว้เยอะ
เศรษฐกิจของประเทศ ภายใต้การบริหารของหัวหน้าทีมเศรษฐกิจซึ่งไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจอย่างที่ “หม่อมอุ๋ย” ปรามาสไว้ จึงอยู่ในสภาพหนี้ครัวเรือนบาน หนี้ประเทศท่วม จำนวนคนจนมีมากถึง 20 ล้านคน อย่างเป็นทางการ ล้าหลังเพื่อนบ้าน
ถ้าไม่งี่เง่าจริงๆ คงทำไม่สำเร็จได้อย่างนี้ ที่น่ากลัวคือยังจะดันทุรังทำต่อไปอีก