“สอดแนมการเมือง”
“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
รักประชาชนด้วยใจจริง ต้องคิดและทำเยี่ยง “สีจิ้นผิง”? มิใช่ทำเฉกเช่น “เหลี่ยม-ตู่”!
ด้วยโครงสร้างของชาติไทยในอดีตจรดวันนี้ ทั้งเรื่อง “คนทางการเมือง” กับระบอบ “การเมือง” ผู้มีอำนาจมักอ้าง “ทำเพื่อประชาชน” มาตลอด..!
ทว่า..“ผู้นำไทย” แทบทั้งหมด หาได้ “ทำเพื่อประชาชน” ดังที่อ้างไม่..!
ไม่ว่าจะเป็น “ผู้นำไทย” ที่มาจากการรัฐประหาร หรือมาจากประชาธิปไตยเลือกตั้ง ซึ่งลอกแบบจากทุนสามานย์ชาติตะวันตกแทบทั้งดุ้น เป็นประชาธิปไตยสกปรกชนิดซื้อเสียงและโกงได้ ชาติจึงมักได้ “นายกฯ” กับรัฐบาลโกงชาติ เช่นคณะของ “เหลี่ยม” กับเครือข่าย ที่ไม่เพียงแค่โกงชาติ หากมีพฤติกรรมบังอาจจะล้มเจ้าอีกด้วย
“รัฐบาลเลือกตั้ง” ทุนสามานย์เหล่านั้น มักถูก “คณะทหาร” ทำรัฐประหารโค่นล้มลง จากนั้นก็ตั้ง “รัฐบาลเผด็จการทหาร” ขึ้นบริหารชาติแทน
ทว่า.. “รัฐบาลรัฐประหาร” ก็มิได้ทำเพื่อประชาชนคนส่วนใหญ่ ดัง “คำประกาศ” ลมๆ แล้งๆ อันเป็นข้ออ้างในการทำรัฐประหารเลยนะเฟ้ย..!
สรุปแล้ว..“รัฐบาล” ทั้งสองรูปแบบ ที่ล้วนอ้างบริหารชาติเพื่อ “ประชาชน”! แท้จริงกลับทำเพื่อ “ประชาชนส่วนน้อย”ในสังคม(ว่ะ) โดยเฉพาะ “กลุ่มมหาเศรษฐี” รวยล้นฟ้า ให้รวยยิ่งๆขึ้นเป็นที่ประจักษ์ของผู้คนมาตลอด
ขณะที่ “ประชาชนส่วนใหญ่” ทั้งชนชั้นกลางและผู้ยากไร้ ยากจนลงทุกวัน ถึงขั้นต้องเผชิญกับปัญหาการทำมาหากิน รายได้ไม่พอกินอิ่มครบสามมื้อ เรียกว่า..คุณภาพชีวิต “คนส่วนใหญ่ของชาติ” ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ จนไร้อนาคต.. ฯลฯ
ดังยุครัฐบาลเลือกตั้งเครือข่าย “เหลี่ยม” ต่อเนื่องจนถึงยุครัฐบาลรัฐประหารขอ
“บิ๊กตู่” ซึ่งสืบทอดอำนาจจำแลงแปลงร่างกลายเป็น“รัฐบาลเลือกตั้ง” ที่ยังคงมี “บิ๊กตู่” คนหน้าเดิมอารมณ์ผันผวน เดี๋ยวผีเข้าผีเดี๋ยวผีออกอยู่ตลอด จนวันเวลาผ่านไป “กว่า 8 ปี” แล้ว แต่ยังคงไม่มีผลงานการ “ปฏิรูปชาติ” ตามคำประกาศของ “บิ๊กตู่” เป็นการตระบัดสัตย์ประชาชนแบบดื้อๆ!
“รัฐบาลทั้งสองรูปแบบ” นอกจากไม่ได้ลดความเหลื่อมล้ำแทบทุกมิติในสังคม โดยเฉพาะเรื่องการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรมให้คนส่วนใหญ่ สังคมไทยในยุค “รัฐบาลบิ๊กตู่” จึงอยู่ในสภาพ “รวยกระจุก-จนกระจาย” ทวีขึ้น!
การปราบปราม “ขบวนการโกงชาติ” ก็ไม่ทำจริงจัง แถมเป็นดัวการโกงชาติเสียเอง! ทำให้การโกงชาติขยายตัวกว้างขวางขึ้น ทั้งในโครงการทั่วไปและโครงการประชานิยม เรียกว่า..พวก “นักการเมือง-ข้าราชการ-พ่อค้านักธุรกิจ” ที่ชั่วช้าสามานย์ ซึ่งเป็นคนส่วนน้อย โกงชาติไทยอย่างมโหฬารไม่รู้จักพอ!
เฮ้อ..ความต่อเนื่องของการบริหารชาติ โดยเฉพาะยุครัฐบาลของ “เหลี่ยม-ตู่” การปราบปรามการโกงชาติทำกันบบ “ปากว่าตาขยิบ” มิได้เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง การโกงชาติของ“รัฐบาลเหลี่ยม-ตู่” จึงชุกชุม โกงชนิดมิรู้จักพอเพียง กระทั่งศาลฯตัดสินให้จำคุกอดีตนายกฯ “เหลี่ยม” กับ “น้องสาว” จนต้องพากันเผ่นหนีตะราง ไปซุกอยู่ในดินแดนของ “ชาติอาหรับ” จนทุกวันนี้
ส่วนการโกงชาติของรัฐบาล “นายกฯ ตู่” กับพลพรรค ไม่ได้ยุติลงแม้แต่น้อยเลย ปรากฎข่าวฉาวโผล่ออกมาเนืองๆ จนปัญหา “โกงชาติ” กับ “ความเหลื่อมล้ำ” ในสังคมไทยยุค “นายกฯตู่” ได้พุ่งปรู๊ดขึ้นติดอันดับต้นๆ ของโลกไปเลย!
อืม..ต้องยอมรับความจริงว่า ยุค“นายกฯ ตู่” คนจนในไทยเพิ่มขึ้น! ขณะที่ยุค “สีจิ้นผิง” รัฐบาลจีนได้แก้ปัญหา “คนจน” ให้ลดลงได้ จนมีแนวโน้มจะหมดไปในอนาคต เป็นที่ยอมรับของ “องค์การสหประชาชาติ”..
เคล็ดลับง่ายๆ แต่การจะทำให้เป็นจริงได้นั้น-ยาก! แต่ “ผู้นำจีน” ในอดีตรวมถึง “สีจิ้นผิง” ล้วนยึดถือหลักอย่างมั่นคงอยู่เสมอว่า “มิมีธรรมใดสูงกว่าการรักราษฎร มิมีความเลวใดทรามกว่าการทำร้ายราษฎร”! และต้อง “ขจัดความทุกข์ร้อนของราษฎร ดุจดังขจัดโรคร้ายของตนเอง”!
โดยเฉพาะในยุคประธานาธิบดี “สีจิ้นผิง” ได้ยึดหลักในเรื่องดังกล่าวอย่างมั่นคงว่า
คนเราทุกคนต้องมีคุณธรรม ข้าราชการทุกคนต้องมีคุณธรรม คนเป็นข้าราชการแล้ว มาตรฐานด้านคุณธรรมสูงสุดคือ รักประชาชนและรับใช้ประชาชน
ในทางกลับกันก็เป็นเช่นเดียวกัน “เจ้าหน้าที่ระดับบริหาร” คือผู้รับใช้ประชาชน และประชาชนคือนายของเจ้าหน้าที่ระดับบริหาร ความสัมพันธ์เช่นนี้จะกลับหัวกลับหางมิได้เด็ดขาด
ถ้าไม่ให้ประชาชนเป็นนาย ไม่ยอมทำตัวเป็น “ข้ารับใช้” ก็ไม่มีคุณสมบัติในการเป็นเจ้าหน้าที่ระดับบริหาร ถ้าเปลือกนอกบอกเป็นผู้รับใช้ประชาชน แต่ใจกลับคิดว่าตนเป็นนายของประชาชน เอาแต่ยกตัวเองไว้เบื้องสูง หรือซ้ำร้ายยังทำให้มวลชนเสียประโยชน์ ปรับเปลี่ยน “ความสัมพันธ์ฉันปลากับน้ำ” กลายเป็น “ความสัมพันธ์ระหว่างน้ำกับน้ำมัน” แล้ว จะทำลายความกลมเกลียว ระหว่างข้าราชการกับประชาชน กลายเป็นอริและขัดแย้งกัน ถือเป็นการทำลายจริยธรรมของข้าราชการจนหมดสิ้น
นี่คือ “มิมีความเลวทรามใดทรามกว่าการทำร้ายราษฎร”
การสร้างจริยธรรมของข้าราชการ ต้องเริ่มด้วยการขจัดความคิดเรื่อง “ยึดข้าราชการเป็นศูนย์กลาง” พยายามปรับเปลี่ยนนิสัยและความเคยชินของศักดินาที่ “การเป็นข้าราชการคือตนเป็นใหญ่” ต้องยืนกรานเจตจำนงพื้นฐาน และแนวทางงานมวลชนของพรรค รักษาความสัมพันธ์กับประชาชนเหมือนเลือดเนื้อ อุทิศสติปัญญาเพื่อประชาชน หยั่งรากของพลังลงสู่ประชาชน รักใคร่ในประชาชน ถือเอาการแก้ไขปัญหาความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นอันดับแรก เพียรพยายามทุ่มเทกายใจ คิดหาวิธีเพื่อผลประโยชน์ของปวงชน
เรื่องนี้ที่ “สีจิ้นผิง” ได้นำมาต่อยอดความคิด มีที่มาจากตำราโบราณ “เยี่ยนจื่อชุนชิว” ที่ “ลูเซี่ยง” ถาม “เยี่ยนจื่อ” ว่า “การกระทำใดที่สูงส่ง การกระทำใดที่ประเสริฐ” คำตอบกลับมาคือ “มิมีธรรมใดสูงกว่าการรักราษฎร มิมีการกระทำใดประเสริฐไปกว่า การทำให้ราษฎรเป็นสุข”
เมื่อถามต่อว่า “คุณธรรมใดที่ต่ำ การกระทำใดที่เลว” คำตอบกลับมาคือ “มิมีธรรมใดต่ำกว่าการรังแกราษฎร มิมีการกระทำใดที่เลวไปกว่าการทำร้ายราษฎร”!
“สีจิ้นผิง” ได้เน้นความต่อเนื่องว่า ความสำคัญอย่างยิ่งยวด ในการแก้ไขปัญหาของประชาชนคือ ทำอย่างไรจึงจะทำให้เจตนารมณ์การปกครองเป็นจริง ทำเช่นไรจึงจะทำให้การมุ่งแสวงหาคุณค่า ความเป็นอยู่ของประชาชนอันเป็นสิ่งสูงสุด กลายเป็นปฏิบัติการที่เป็นจริงได้ ซึ่งปราชญ์โบราณได้ยกตัวอย่างว่า
พอพูดถึงการช่วยเหลือคนจน ก็แบกข้าวมาสักกระสอบ หรือส่งน้ำมันพืชขวดหนึ่ง ไปเยี่ยมครอบครัวผู้ยากไร้ ทำแค่เป็นผักชีโรยหน้า
พอพูดถึงคนระดับล่าง ก็ยกโขยงกันไปเยี่ยมชมชนบท ชั่วประเดี๋ยวประด๋าวก็สะบัดก้นจากไป เพียงแค่ให้เป็นข่าวในโทรทัศน์ ในหน้าหนังสือพิมพ์ ในวิทยุกระจายเสียง
ส่วนทุกข์ร้อนที่แท้จริงของประชาชนกลับละเลย การทำเช่นนั้นมิใช่การแก้ปัญหาอย่างแท้จริง เป็นแค่รูปแบบที่เปลือกนอกกับภายในไม่ตรงกัน พูดอย่างทำอย่าง ไม่เพียงมิได้ขจัดความทุกข์ร้อนของประชาชน และไม่อาจพูดได้ว่าเป็นการปกครองเพื่อประชาชน
“สีจิ้นผิง” จึงย้ำแล้วย้ำอีกอยู่เสมอว่า “ขจัดความทุกข์ร้อนของราษฎร ดุจดังขจัดโรคร้ายของตนเอง”!
เจ้าหน้าที่ของรัฐทุกระดับชั้น ต้องแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชนอย่างจริงจัง เมื่อเห็นความเดือนร้อนของประชาชน ต้องตั้งอกตั้งใจแก้ไขคลี่คลาย ดุจดัง “ขจัดโรคร้ายของตนเอง”!
รัฐบาล “เหลี่ยม-ตู่” มิเคยยึดหลัก “มิมีธรรมใดสูงกว่าการรักราษฎร มิมีความเลวใดทรามกว่าการทำร้ายราษฎร”! อีกทั้งมิได้ “ขจัดความทุกข์ร้อนของราษฎร ดุจดังขจัดโรคร้ายของตนเอง”!
“เหลี่ยม-ตู่” คิดกับทำหวังแค่ “อำนาจ” เพื่อโกย“เงินทองผลประโยชน์ใส่ตนและพวกพ้อง”เท่านั้น..ห่วยแตก..!!!