ปิดท้ายสัปดาห์นี้...ถ้าจะว่ากันถึง “ความทุกข์-ความเดือดร้อน” ของโลกทั้งโลกในช่วงนี้ ก็น่าจะไม่มีอะไร “หนักหนา-สาหัส” และ “เร่งด่วน” เกินไปกว่าเรื่อง “เศรษฐกิจ” เรื่องปาก-เรื่องท้อง เรื่องการเงิน-การทอง ไปจนเรื่องความเป็นไปของสภาวะอากาศ ที่กำลังทำให้ใครต่อใครหนาวตาย-แข็งตาย ไม่ก็ตกน้ำป๋อมแป๋ม กันไปในแต่ละซีกโลกนั่นแหละทั่น!!!
ส่วนจะหนักขนาดไหน เร่งด่วนขนาดไหน...บรรดาผู้รู้-ผู้เชี่ยวชาญจำนวนไม่น้อย เขาก็ได้ออกมาตอกย้ำ กล่าวย้ำ ชนิดแทบไม่ต้องเสียเวลาสงสัยข้องใจ อะไรอีกต่อไปแล้ว อาทิ นักธุรกิจ-นักบริหารระดับโลก อย่าง “CEO” แห่งบริษัท “FedEx” “นายRaj Subramaniam” ที่ได้ออกมาแจ้งเตือน แจ้งภัย เอาไว้กับสำนักข่าว “CNBC” ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา ว่าโดยประสบการณ์ โดยข้อเท็จจริง ที่ได้ประสบพบเห็น โดยเฉพาะต่อความเป็นไปของธุรกิจตัวเอง ในช่วง ณ ขณะนี้ ถึงกับทำให้ต้องตัดสินใจ “ฟันธง” และ “ฟันเฟิร์ม” เอาไว้ล่วงหน้าว่า “เรากำลังก้าวเข้าสู่ภาวะถดถอยครั้งใหญ่ของเศรษฐกิจทั่วทั้งโลก” หรือนักคิด-นักวิเคราะห์เศรษฐกิจชื่อดัง ผู้เคยโด่งดังมาจากหนังสือเรื่อง “Rich Dad-Poor Dad” อย่าง “นายRobert Kiyosaki” ที่ออกมาให้ความเห็นในแนวเดียวกันประมาณว่า... “การพังพินาศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การเงินโลก กำลังจะมาถึง...” ไปจนสำนักข่าวด้านเศรษฐกิจอย่าง “Bloomberg” ที่นอกจากจะเคยสรุปไว้ในช่วงกลางเดือนที่ผ่านมาว่า เศรษฐกิจยุโรปทั้งยุโรปที่เคยเป็นเครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจโลก มีแนวโน้มจะถดถอยไม่น้อยไปกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ช่วงเมื่อไม่กี่วันมานี้ ยังออกมาฟันธงและฟันเฟิร์มไว้อีกต่างหากว่า การพังทลายของระบบพันธบัตรรัฐบาลทั่วทั้งโลกในรอบ 70 ปี (นับจากค.ศ. 1949) กำลังจะเกิดขึ้น หรือ “นายPeter Boockvar” หัวหน้าฝ่ายลงทุนบริษัท “Bleakley Advisory Group” ที่ออกมาระบุว่า “ฟองสบู่ของพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลกกำลังจะแตก” ฯลฯ ฯลฯ....
คือไม่ว่าจะดูจากภาวะอัตราเงินเฟ้อ ความติดๆ-ขัดๆ ในเรื่องธุรกิจห่วงโซ่อุปทาน ภาวะขาดแคลนพลังงาน ไปจนราคาอาหาร ราคาสินค้าที่พุ่งทะลุเพดาน ทะลุหลังคาใกล้ถึงอวกาศ ฯลฯ ของแต่ละประเทศในช่วงระหว่างนี้ คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้นั่นแหละว่า มันกำลังก่อให้เกิดผลกระทบต่อโลกทั้งโลกชนิด “เอาเรื่อง” มิใช่น้อย หรืออย่างที่หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank) “นางChristine Lagarde” เธอได้ออกมาบรรยายความตามไท้เอาไว้เมื่อต้นสัปดาห์ (26 ก.ย.) นั่นแหละว่า “เป็นทัศนวิสัยที่เต็มไปด้วยความมืดมน” หรือเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายสำหรับการค้า-การลงทุน ที่ยังคงต้องต่อเนื่องยาวนาน ไปอีกเป็นปีๆ โดยเฉพาะภาวะเงินเฟ้อทั่วทั้งยุโรป ที่ตกเฉลี่ยประมาณ 9.1 เปอร์เซ็นต์ ณ ช่วงขณะนี้ กว่าจะลดลงในระดับควบคุมได้ หรือไม่อันตรายจนเกินไป ก็คงต้องรออีกประมาณปี-สองปี หรือประมาณปี ค.ศ. 2024 โน่นเลย ถึงอาจพอลดๆ ลงมาเหลือ 2.3 เปอร์เซ็นต์ได้มั่ง...
ยิ่งเมื่ออะไรต่อมิอะไรอยู่ในภาวะแทบควบคุมไม่ได้...ประเทศผู้นำโลก ประมุขโลก อย่างคุณพ่ออเมริกาท่านเลยต้องตัดสินใจ “เอาตัวรอด” ด้วยการขึ้น “อัตราดอกเบี้ยนโยบาย” แบบชนิดแทบไม่สนใจว่าจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อโลกทั้งโลกไปถึงขั้นไหนต่อขั้นไหน หรือแบบที่ใครต่อใครต้องใช้คำว่า “บ้าระห่ำ” ทำนองนั้น และอันนั้น...ยิ่งส่งผลให้ทุกสิ่งทุกอย่างยิ่งหนักหนา-สาหัสยิ่งขึ้นไปอีก บรรดาสกุลเงินตราประเทศต่างๆ ไม่ว่ายูโร-ปอนด์-เยน-หยวน-รูปี ฯลฯ กระทั่งเงินบาทบ้านเราเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์แล้ว เลยมีแต่ต้อง “อ่อนค่า” ลงมาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ หรือทำให้ต้องหาทางป้องกันเงินดอลลาร์ไหลออกไปหาดอกเบี้ยสูงๆ ด้วยการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในแต่ละประเทศ จนทำให้ต่างตกอยู่ใน “ความเสี่ยง” ที่จะเกิดภาวะ “เศรษฐกิจถดถอย” ภายในประเทศตัวเอง หรือเกิดความสั่นไหวต่อระบบการเงิน-การทองของแต่ละประเทศอันเนื่องมาจากคุณพ่ออเมริกาท่านยึดหลัก “American First” หรือหลัก “ตัวกู-ของกู” เป็นที่ตั้งเอาไว้ก่อน โดยเห็นได้ชัดเจนนับตั้งแต่ครั้งเกิด “วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์” ปี ค.ศ. 2008-09 จนตราบเท่าทุกวันนี้นั่นเอง...
แต่ก็นั่นแหละ...แม้ปัญหาเร่งด่วน หรือปัญหาที่หนักหนา-สาหัสที่สุด มันจะเป็นเรื่อง “เศรษฐกิจ” อันดับแรก แต่กรรมวิธีในการแก้ต้นเหตุแห่งทุกข์ หรือ “สมุหทัย” ของหลายต่อหลายประเทศ กลับต้องหันไปเน้นที่ “การทหาร” ซะเป็นหลัก อย่างเช่นประเทศผู้ดีอังกฤษ ผู้พร้อมทอดกาย-ทอดใจเป็นสมุนบริวารของคุณพ่ออเมริกาตามแนวคิดที่เรียกว่า “Global Britain” อะไรประมาณนั้น ที่รัฐมนตรีคลังหรือ “UK Chancellor of the Exchequer” คนล่าสุด “นายKwasi Kwarteng” ได้ออกมาป่าวประกาศแนวนโยบายเศรษฐกิจเอาไว้ประมาณว่า นอกจากจะหันมากู้เงินครั้งใหญ่ประมาณ 411,000 ล้านปอนด์ หรือ 446,000 ล้านดอลลาร์ภายในระยะ 5 ปี เพื่อเอามากระตุ้นเศรษฐกิจ ปรับลดภาษีบรรดาบริษัท ร้านค้า เอกชน ช่วยเหลือเยียวยาด้านพลังงาน ขณะที่บรรยากาศการค้า-การลงทุนอยู่ในภาวะ “มืดมน” ไปทั่วทั้งยุโรปหรือทั่วทั้งโลกก็ตาม หรือทั้งๆ ที่หนี้สินของประเทศพุ่งขึ้นไปถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี “หนี้ดอกเบี้ยค้างจ่าย” (Interest payable) ตามข้อมูลตัวเลขของ “ONS” (National Statistics) สรุปว่าสูงสุดนับแต่ปี ค.ศ. 1997 เป็นต้นมา หรือสูงขึ้นไปถึง 8.2 พันล้านปอนด์แต่นอกจากจะกู้เอามาใช้เยียวยา ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว ยังพร้อมจะเอามาใช้เพื่อ “เพิ่มงบประมาณทางทหาร” ขึ้นไปอีกเท่าตัวเป็นอย่างน้อย หรืออย่างที่รัฐมนตรีกลาโหม “นายBen Wallace” พูดกับหนังสือพิมพ์ “The Sunday Telegraph” เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (25 ก.ย.) ว่าจะต้องเพิ่มจาก 52,000 ล้านปอนด์ ขึ้นไปเป็นประมาณ 100,000 ล้านปอนด์ภายในปี ค.ศ. 2030 ให้จงได้!!! เพื่อให้เกิดศักยภาพในการ “ปกป้องเสรีภาพและประชาธิปไตย” จากบรรดาประเทศ “อำนาจนิยม” อย่างจีนและรัสเซีย มหาอำนาจคู่แข่งรายสำคัญของคุณพ่ออเมริกานั่นเอง...
อันนี้นี่แหละ...ที่ว่ากันว่าเลยส่งผลให้ “ค่าเงินปอนด์” ตกจากหอคอย่น ร่วงลงเหลือแค่ 1.0327 ปอนด์ต่อ 1 ดอลลาร์ ต่ำไปกว่า 41 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับช่วงปกติ หรือถ้าว่ากันตามความคิด-ความเห็นของพวกสมาชิกพรรคอนุรักษนิยมด้วยกันเอง อย่าง “นายJulian Smith” ที่สรุปไว้ว่า “การปรับลดภาษีครั้งใหญ่ให้กับคนรวยในช่วงเวลาที่กำลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ เกิดความกลัว ความกังวลใจต่อรายได้ของผู้คนที่นับวันมีแต่ลดลงๆ ถือเป็นแนวทางที่ผิดพลาดอย่างมหาศาล” หรือพูดง่ายๆ ว่า...ด้วยการแก้ปัญหาแบบ “ไม่ตรงจุด” ไม่ได้แก้แบบ “ทุกข์-สมุหทัย-นิโรธ-มรรค” อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ตั้งแต่กว่า 2,000 ปีที่แล้ว ไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึง “อำนาจอธิปไตย” ภายในมือตัวเอง ไม่ได้มุ่งที่จะตอบสนองต่อความปรารถนา-ความต้องการเร่งด่วนของผู้คนในประเทศตัวเองอย่างเท่าที่ควรจะเป็น เพราะต้องหันไปเดินตามความประสงค์ความมุ่งหมายของ “ประมุขโลก” อย่างคุณพ่ออเมริกา ที่พยายามดำรง รักษาความเป็น “จ้าวโลก” หรือ “โลกขั้วอำนาจเดียว” เอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ โดยไม่ได้สนใจต่อผลพวง หรือผลกระทบต่อประเทศใดๆ แม้แต่ประเทศที่เป็นพันธมิตรของตัวเองเอาเลยแม้แต่น้อย...
ด้วยเหตุนี้...จึงไม่ถึงกับน่าแปลกใจอะไรมากมาย ที่ทำให้ผู้คนในแต่ละประเทศ โดยเฉพาะประเทศประชาธิปไตยในยุโรป เลยหนีไม่พ้นต้องหันไปพึ่งพาพวก “ขวาจัด” กันในแต่ละประเทศ ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส เยอรมนี กรีซ เนเธอร์แลนด์ ฯลฯ หรืออิตาลี ที่ต้องบากหน้าหันไปหา “นางGiorgia Meloni” หัวหน้าพรรคพันธมิตรฝ่ายขวาให้ขึ้นสู่อำนาจ นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ด้วยเหตุเพราะความเจ็บปวด ความทุกข์ของประชาชน ที่ไม่ได้รับการตอบสนองจากระบอบเสรีประชาธิปไตย หรือจาก “อำนาจอธิปไตย” ที่แทบไม่ได้หลงเหลืออยู่ในมือรัฐบาลแต่ละรัฐบาลเอาเลยแม้แต่น้อย ยอมปล่อยตัว ปล่อยใจ ให้ผู้นำโลกที่สุดจะ “เห็นแก่ตัว” อย่างคุณพ่ออเมริกา ชักนำ ชักจูงให้เข้ารก-เข้าพงหนักยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหลาย ทั้งปวง เหล่านี้นี่เอง...จึงทำให้เกิดแรงต่อต้าน เกิดอาการ “สวิง” หรือ “สุดขั้ว” ไปในด้านหนึ่ง-ด้านใด หรือทำให้ “ประชาธิปไตยตามมาตรฐานตะวันตก” กำลังก้าวเข้าสู่ความเป็น “ประชาธิป...ตาย” อย่างเห็นได้ชัดเจนยิ่งเข้าไปทุกที!!!