xs
xsm
sm
md
lg

เมื่ออดีตจ้าวอาณานิคมอังกฤษกลายเป็นอาณานิคมแผนใหม่ของอเมริกา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


คาเรน เพียร์ซ อดีตทูตถาวรอังกฤษประจำสหประชาชาติ
เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องแวะไปดูพวก “ผู้ดีอังกฤษ” กันอีกนั่นแหละทั่น!!! เพราะไม่ว่าจะดีวันจันทร์ วันอังคาร หรือดี-ไม่ดีแบบไหน? อย่างไร? ก็ตามที แต่โอกาสที่จะต้อง “หนาวตาย-แข็งตาย” ไม่ก็ “หิวตาย” ในช่วงฤดูหนาวที่กำลังมาถึง ยิ่งดูจะมีความเป็นไปได้สูงยิ่งเข้าไปทุกที...

เพราะดังที่หน่วยงานซึ่งมีหน้าที่ดูแลด้านราคาแก๊สและไฟฟ้า อย่าง “Ofgem” (Office of Gas and Electricity Markets) ของอังกฤษ เขาเพิ่งออกมาป่าวประกาศเมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมานั่นแหละว่า โอกาสที่บรรดาชาวผู้ดีอังกฤษจะต้องเจอกับราคาพลังงานที่สูงขึ้นไปถึง 80 เปอร์เซ็นต์ในเดือนตุลาคมที่จะถึง หรือจากที่เคยต้องควักกระเป๋าจ่ายกันในระดับ 1,971 ปอนด์ หรือ 2,323 ดอลลาร์ในช่วงที่ผ่านมา อาจต้องควักเพิ่มไปอีกถึง 3,549 ปอนด์หรือ 4,183 ดอลลาร์ เนื่องจากราคาแก๊ส ราคาพลังงานที่ พุ่งทะลุเพดาน ทะลุหลังคาไปถึงชั้นอวกาศ นับจากการต่อต้าน การแซงชั่นรัสเซียเป็นต้นมา...

ชนิดวิถีชีวิตของชาวผู้ดีอังกฤษในทุกวันนี้...หนีไม่พ้นต้องเลือกระหว่างการ “หนาวตาย” หรือ “หิวตาย” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ หรืออย่างที่โพลของ “Ipsos” เขาได้ไปสำรวจวิจัยตั้งแต่ช่วง 22-24 ส.ค.ที่ผ่านมานั่นแหละว่า 1 ใน 3 ของชาวอังกฤษทั้งมวล กำลังดิ้นรนทุรนทุรายอย่างยากลำบากเอามากๆ กับการเผชิญค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่มีมูลค่าสูงถึง 120 เปอร์เซ็นต์ของรายได้แต่ละครอบครัว หรือของผู้คนจำนวนไม่ต่ำกว่า 45 ล้านคน ถ้าว่ากันตามการคำนวณของผู้เชี่ยวชาญจากมูลนิธิ “Joseph Rowntree Foundation” ที่ได้สรุปเอาไว้กับสำนักข่าว “BBC” เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา...

หรือถ้าว่ากันตามคำพูด ตามความคิด ความเห็น ของนายกเทศมนตรีกรุงลอนดอน อย่าง “นายซาดิค ข่าน” (Sadiq Khan) ถึงกับต้องใช้คำว่า ถือเป็น “หายนะระดับชาติ” (National Disaster) เอาเลยถึงขั้นนั้น!!! ชนิดรัฐบาลต้องรีบยื่นมือเข้ามาแทรกแซง หรือต้องเร่งระงับใบเสร็จค่าใช้จ่ายด้านพลังงานโดยด่วน แทนที่จะต้องให้ชาวอังกฤษต้องหาทางเลือกกันเอาเองว่าจะ “หิวตายหรือหนาวตาย” (Heating or Eating) กันอีกไม่นานนับจากนี้ เพราะระหว่างที่บรรดา “นักการเมือง” อังกฤษกำลังหมกมุ่น มัวเมา อยู่กับการ “หาเสียง” เพื่อที่จะหาผู้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แทนนายกฯ หัวกระเซิง อย่าง “นายบอริส จอห์นสัน” ด้วยการแสดงออกถึงความเป็นศัตรูกับประเทศมหาอำนาจรายใหม่อย่างจีนและรัสเซียยิ่งๆ ขึ้นไป ถึงขั้นพร้อมที่จะงัดเอา “ขีปนาวุธนิวเคลียร์” มาถล่มฝ่ายตรงข้ามเอาเลยถึงขั้นนั้น แต่ภายในประเทศอังกฤษเอง บรรดาชาวผู้ดีอังกฤษที่อดรนทนไม่ไหวกับบรรดานักการเมือง หรือกับระบบ-ระบอบประชาธิปไตยแบบอังกฤษ ถึงขั้นต้องหันไปก่อรูปก่อร่าง ก่อตั้ง “ขบวนการไม่จ่าย” (The Don’t Pay Movement) หรือพยายามรวมตัวเพื่อที่จะปฏิเสธการจ่ายบิลค่าไฟฟ้า ค่าพลังงาน ขึ้นมาตามเว็บไซต์ต่างๆ อย่างเป็นระบบและกิจการ...

พูดง่ายๆ ว่า...โดยสีสันบรรยากาศของ “ประชาธิปไตยแบบอังกฤษ” ทุกวันนี้ มันกำลังก่อให้เกิด “ขบถ” ในแต่ละรูปแบบ อย่างเห็นได้ชัดเจนยิ่งเข้าไปทุกที เกิดการสไตรก์ เดินขบวนของผู้คนในสถาบันและองค์กรต่างๆ ไม่ว่าตั้งแต่พนักงานรถไฟ ทนายความ หมอ และพยาบาล ฯลฯ ตลอดไปจากบรรดาเอกชนโดยทั่วไป ด้วยเหตุเพราะบรรดา “นักการเมือง” ทั้งหลาย ต่างแทบไม่ได้ให้ความสนใจต่อชะตากรรม ต่อชีวิต-ความเป็นอยู่ของผู้คน หรือของสาธารณชนอย่างเท่าที่ควรจะเป็น แม้แต่ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ อย่าง “นางลิซ ทรัสส์” (Liz Truss) ที่พร้อมจะสาดบ้องข้าวหลามยักษ์ พร้อมยิงนิวเคลียร์เพื่อถล่มฝ่ายตรงข้าม แต่สำหรับเรื่องค่าน้ำ-ค่าไฟของชาวอังกฤษ ที่กำลังต้องเลือกระหว่าง “หิวตายหรือหนาวตาย” ในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล กลับแทบไม่ได้ให้ความสำคัญ หรือแค่บอกว่ารัฐบาลย่อมต้องช่วยเหลือแน่ๆ โดยไม่ได้มีรายละเอียดใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย...

ขณะที่ใครต่อใครต่างประเมินถึง “ชะตากรรม” ของชาวอังกฤษไว้อย่างหนักหนา-สาหัสเอามากๆ ไม่ว่าสำนักข่าว “Bloomberg” ที่สรุปเอาไว้เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ(25 ส.ค.) ที่ผ่านมา ว่าวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นกับชาวอังกฤษช่วงนี้หนักซะยิ่งกว่า “วิกฤตการเงินโลกปี ค.ศ. 2008” หลายต่อหลายเท่า หรือองค์กรด้านสาธารณสุขอย่าง “The National Health Service” ที่สรุปเอาไว้ถึงขั้นว่าบรรดาชาวผู้ดีทั้งหลาย กำลังเจอกับ “Humanitarian Crisis” หรือวิกฤตมนุษยชน ทั้งในระยะสั้นและระยาว อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ แต่บรรดาชะตากรรมเหล่านี้กลับแทบไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับ “นักการเมือง” อังกฤษ ยิ่งไปกว่าเรื่องการตั้งตัวเป็นศัตรูกับจีน กับรัสเซีย ที่ถูกหยิบมาหาเสียง หาคะแนนนิยม ในการช่วงชิงตำแหน่งผู้นำประเทศ อย่างชนิดยิ่งนับวันยิ่ง “สุดโต่ง” ไปด้วยกันทั้งคู่ ไม่ว่า “นางลิซ ทรัสส์” หรือ “นายริชชี ซูนัค” ก็แล้วแต่...

อันนี้นี่แหละ...ที่ออกจะน่าคิดน่าสะกิดใจเอามากๆ ว่าเหตุใดระบอบการเมือง-การปกครองที่ถือเป็น “แม่แบบประชาธิปไตย” ของอังกฤษ นับวันแทบไม่ได้สนใจ แทบไม่ได้ให้ความสำคัญกับ “วิถีชีวิต” หรือ “ชะตากรรม” ของผู้คนพลเมืองของตน ที่ถือเป็น “เจ้าของอำนาจอธิปไตย” ที่แท้จริง อย่างเท่าที่ควรจะเป็น กลับหันไปให้ความสนใจ ให้ความสำคัญกับ “ผลประโยชน์” ของชาติอื่น เมืองอื่น โดยเฉพาะคุณพ่ออเมริกา ที่มุ่งหมายจะขจัดมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนและรัสเซีย หรือมุ่งพิทักษ์รักษาความเป็นจ้าวโลก ประมุขโลกให้ดำรงคงอยู่สืบต่อไปให้จงได้ และดูเหมือนว่านักข่าว คอลัมนิสต์ชาวอเมริกันบางราย อย่างเช่น “นายแบรดลีย์ แบลงเคนชิพ” (Bradley Blankenship) พยายามตอบคำถามทำนองนี้เอาไว้บ้างแล้ว โดยเฉพาะในข้อเขียน บทความ ชิ้นล่าสุดเรื่อง “Special relationship: How the US forced the UK to abandon key future technology” เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา...

คือถึงขั้นที่รัฐบาลอังกฤษยอมสูญเสียผลประโยชน์ทั้งในระยะสั้น ระยะยาว จากการใช้เทคโนโลยี 5G ของบริษัทจีนอย่าง “Huawei” ที่เคยเตรียมการเอาไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2019 หลังจากได้พบปะกับตัวแทนรัฐบาลอเมริกัน จนต้องหันไปยกเลิกการใช้อุปกรณ์ทุกชนิดของบริษัทจีน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2020 เป็นต้นมา หรือได้แสดงออกให้เห็นโดยชัดเจนว่าประเทศที่เคยเป็น “จ้าวอาณานิคม” ระดับ “พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน”อย่างอังกฤษ กลับต้องกลายสภาพไปเป็นประเทศ “อาณานิคมแผนใหม่” ของอเมริกา หรือประเทศที่ไม่ได้มี “อำนาจอธิปไตยเป็นของตัวเอง” ไปแล้วตั้งแต่บัดนั้น!!! ไม่ต่างไปจากกลุ่มประเทศ 5 ตาหรือ “Five Eyes Alliance” ทั้งหลาย ไม่ว่าออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และแคนาดา ที่ดำเนินนโยบายไปในลักษณะเดียวกัน...

การหันไปให้ความสนใจ ให้ความสำคัญต่อ “ผลประโยชน์” ของชาติอื่น เมืองอื่น มากเสียยิ่งกว่าความปรารถนา ต้องการของผู้คนพลเมืองในประเทศตัวเอง หรือของเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงตามระบอบประชาธิปไตยโดยทั่วไป ว่ากันว่าน่าจะเนื่องมาจากนโยบายของรัฐบาลอังกฤษ หลังจากที่ได้ถอนตัวจากอียู หรือที่เรียกๆกันว่า “Global Britain strategy” นั่นเอง อันเป็นแนวคิดที่สืบเนื่องมาจากยุคอดีตประธานาธิบดีอเมริกัน “แฟรงคลิน ดี. รูสเวลท์” (Franklin D. Roosevelt) และอดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ “วินสตัน เชอร์ชิล” (Winston Churchill) ได้วางรากฐานเอาไว้เมื่อกว่า 80 ปีที่แล้ว เพื่อหวังจะให้โลกทั้งโลกต้องตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของ “รัฐบาลแองโกล-อเมริกัน” ไปโดยตลอด...

หรือดังที่อดีตทูตอังกฤษประจำอเมริกาและอดีตทูตถาวรอังกฤษประจำสหประชาชาติ “นางคาเรน เพียร์ซ” (Dame Karen Pierce) ได้เคยให้คำอรรถาธิบายถึงนโยบายยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า “Global Britain strategy” เอาไว้ประมาณว่า หมายถึง “ความร่วมมืออย่างไม่มีขีดจำกัดระหว่างอเมริกาและอังกฤษ” หรือ “เป็นความร่วมมืออย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนของรัฐบาลใดๆ เท่าที่เคยมีมาในโลก ที่จะก้าวหน้าไปสู่การประชาธิปไตยแบบสังคมเปิดและการเป็นหุ้นส่วนทางการค้าที่แข็งแกร่งที่สุดอันจะทำให้โลกปลอดภัยภายใต้ความร่วมมือของชาติทั้งสอง...” การหันไปเล่นงานจีนและรัสเซียเอาไว้ก่อน จึงกลายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญซะยิ่งกว่าการช่วยเหลือ เยียวยา ค่าน้ำ ค่าไฟ การดูแลวิถีชีวิตของชาวอังกฤษที่กำลังตายโหง ตายห่า ภายในอีกไม่นาน-ไม่ช้า เป็นไหนๆ...


กำลังโหลดความคิดเห็น