เหลืออีกไม่กี่วันแล้ว วาระของการระทึกใจจะมาถึง ว่าด้วยข้อถกเถียงเรื่องชะตากรรมทางการเมืองของท่านผู้นำห้าวเป้งว่าจะเป็นอย่างไรเมื่อถึงวันที่ 24 เดือนนี้ หลังจากผู้รู้กฎหมายระดับปรมาจารย์ ผู้รู้บ้างไม่รู้บ้าง หรือผู้อยากรู้แสดงความเห็นมากมาย
ไม่แปลกอย่างที่มีคำพูดว่า ถ้ามีนักกฎหมายนั่งอยู่ด้วยกัน 5 คน คุยกันเรื่องเดียว อาจมีถึง 10 ความเห็นต่างกัน ถึงจะเรียนตำราเล่มเดียวกัน รุ่นเดียวกัน
อย่างเรียนรุ่นเดียวกัน คนหนึ่งเป็นทนายความ คนหนึ่งเป็นอัยการ คนหนึ่งเป็นตุลาการ อ้อ แถมมีตำรวจอีกด้วย ก็ยิ่งต้องไปเถียงกันว่าใครมีความเห็นถูกต้อง
อย่างตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ว่าต้องรับงานใหญ่ตีความว่าท่านห้าวเป้งอยู่ครบ 8 ปีหรือยัง ก็ยังมีคนเชื่อว่าความเห็นอาจไม่ลงรอยกันทั้งหมด ที่ผ่านมาก็เป็นอย่างนั้น เช่นมติ 5 ต่อ 4 หรือ 6 ต่อ 3 หรืออะไรก็แล้วแต่ ขึ้นอยู่กับแต่ละยุค
อย่างยุคท่านเหลี่ยมสู้คดีซุกหุ้นแล้วชนะ มีตุลาการส่วนหนึ่งเผชิญกับความอัปยศ ถูกกล่าวหาว่าขายตัว ต้องตายเร็วก่อนวัยอันควร เงินทองที่รับมาก็ไม่ได้ใช้ ให้ลูกหลานถลุงเงินชั่วร้อนๆ ก้อนใหญ่ ป่านนี้เหลือเท่าไหร่ มีความสุขหรือเปล่าก็ไม่รู้
เรื่องท่านห้าวเป้งมีเดิมพันสูง เป็นเรื่องอำนาจ นักกฎหมายหัวหงอก หัวดำ หัวล้าน หัวเถิก ประสบการณ์เยอะ เอาความน่าเชื่อถือของตัวเองมาการันตีว่าต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ บางคน หรือมากกว่า 1 ดันมี 2 ความเห็นหลังจากจุดยืนแกว่ง
หรือท่านอดีตตุลาการอาวุโสหัวหงอก หัวเถิกบางรายมีจุดยืนติดล้อ!
อย่างนี้ชาวบ้านสงสัยว่าได้ไปรับผลประโยชน์แฝงเร้นจากใครมาก็ไม่รู้ แต่คงไม่น้อย ถึงขนาดกล้าเปลี่ยนมุมมองทางกฎหมายหน้าตาเฉย หรือจะซ้ำรอยพวกตุลาการบางคนในยุคตัดสินให้ท่านเหลี่ยมชนะในคดีซุกหุ้น ความโลภไม่จำกัดอายุ สถานะ
พวกที่แสดงความเห็นมีทั้งนักร่างรัฐธรรมนูญ อดีตตุลาการระดับต่างๆ อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ก็มีความเห็นต่างกัน ทั้งๆ ที่เห็นสภาพข้อเท็จจริง และอ่านตัวบทกฎหมายเดียวกัน แต่มีมุมมองต่างกัน เหมือนศาลก็มีตั้ง 3 ระดับ
ช่วงนี้ถือว่าเป็นจังหวะงาม นาทีทองของนักกฎหมาย อดีตตุลาการใหญ่ที่แสดงความเห็น คงนึกว่าจากประสบการณ์ยาวนาน เขี้ยวยาวโง้ง ว่าคดีมาสารพัดเรื่อง เมื่อแสดงความเห็นแล้วชาวบ้านต้องเชื่อทันที มีบางรายเป็นนักแทงกั๊กเลื่องชื่อไม่ธรรมดา
อยากจะยกตัวอย่างความเห็นของท่านผู้รู้นักกฎหมายอดีตตุลาการลายครามมา แต่อยากจะอ้วกแตกเสียก่อน เมื่อรู้ที่มาที่ไปของแต่ละคนว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมาได้สร้างเวรกรรมให้บ้านเมืองมากี่ครั้ง รับใช้เผด็จการทหารมากี่รุ่น จะตายก็ยังไม่สำนึก
หรือบ้านเมืองถึงคราวจะมีกลียุคอีกรอบเพราะนักกฎหมายวิบัติจัญไร?
กรณีท่านห้าวเป้งมีเดิมพันสูง การจะได้เป็นนายกฯ ต่อไป หรือไม่ได้เป็นถือว่าเป็นความเป็นความตาย ไม่ใช่เฉพาะของตัวเอง เกี่ยวโยงกับขบวนการ 3 ป. ที่กุมอำนาจรัฐมานานเกือบ 8 ปี หลังจากรัฐประหารในเดือนพฤษภาคม 2557
เรื่องพรรค์นี้ กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง ก็ต้องรู้ว่าใครนั่งเก้าอี้นายกฯ ในทำเนียบตึกไทยคู่ฟ้าต่อเนื่องมาเกือบจะครบ 8 ปี จะอ้างรัฐธรรมนูญฉบับไหนก็ตาม
ไปถามนักการภารโรง แม่บ้าน เจ้าหน้าที่ในทำเนียบฯ ก็ได้ว่าจำได้มั้ยว่าใครนั่งเก้าอี้ตัวนั้นนานเท่าไหร่ คงไม่มีใครความจำเสื่อม เว้นแต่เกษียณหรือตายไปก่อนแล้ว
ข้อเท็จจริงก็อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง จำนวนวัน เดือน ปี เวลานาที เพียงแต่มีพวกตะแบง ศรีธนญชัยศาสตร์ พวกนิยมกฎแห่งการยกเว้น จึงใช้เทคนิคสีข้างเข้าถู ผสมกับความหน้าด้าน เถียงอย่างไม่มีจิตสำนึกดีงาม ความโลภ
ชาวบ้านจึงเห็นนักกฎหมายหัวหงอก หัวเถิกแสดงภูมิอย่างโอ่อ่า อ้างความเป็นผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย แต่นับเลขไม่เป็นเหมือนชาวบ้าน ทำเป็นไม่รู้ว่าท่านห้าวเป้งได้แต่งคำขวัญวันเด็กมากี่ปีแล้ว ข้อเท็จจริง รวมทั้งกฎหมายก็ยังเขียนไว้ชัด
ภาษาคนแท้ๆ อ่านแล้วเข้าใจไม่ตรงกัน นักร่างรัฐธรรมนูญ ไม่เคยตีความเอง
แต่ว่านักกฎหมายอหิวาต์ไม่กล้ารังควาญในแผ่นดินนี้มีศาสตร์อันยอดเยี่ยม สามารถพลิกแพลงอาศัยปาฏิหาริย์ทางกฎหมาย ประกาศด้วยลีลาลิ้นตวัดถึงใบหู อ้างว่าที่ผ่านมาไม่นับ ต้องนับว่าท่านห้าวเป้งเป็นนายกฯ จริงตามรัฐธรรมนูญปี 60
ฉะนั้น จะอยู่ต่อได้จนถึงปี 2570 จนถึงวันบ้านเมืองล่มจมเพราะวิกฤตสารพัดนั่นเลย นักกฎหมาย กูรูหัวหงอกหัวดำ ตวักตะบวยพวกนี้ไม่มีราคาพอสำหรับการยกส้นเท้าคารวะให้ด้วยซ้ำ เป็นตัวมารแผ่นดิน สามารถทำให้เกิดกลียุค คนฆ่ากันได้
อันที่จริงเรื่องทั้งหมดอยู่ที่ตัวการนั่นแหละ รู้ทั้งรู้ว่าอยู่มา 8 ปี ยังทำเป็นตีมึน “แล้วแต่ศาล” พูดอย่างนี้ แสดงให้เห็นว่าอยากอยู่ต่อมาก เสพติดอำนาจงอมแงม
ยังมีปัญหาขบวนการ 3 ปี มีข่าวว่าบางคนอยากนั่งเก้าอี้รักษาการนายกฯ หรือเป็นตัวจริง ถ้าเป็นไปได้ ไม่ต้องคำนึงถึงความรู้ความสามารถ สังขารว่ายังจะตะบันน้ำกินไหวหรือไม่ นอกจากพูดจาอ้อแอ้ไม่เป็นภาษาต่อปากต่อคำกับสื่อแต่ละวัน
ตัณหาในอำนาจไม่สิ้นสุดจริงๆ จิตสำนึกช่วยอะไรไม่ได้ เพราะมีคนอ้างหน้าด้านๆ ว่าไม่เคยมี สะท้อนให้เห็นความล้มเหลวของกระบวนการยุติธรรม ด้วยเหตุคนในวงการไร้คุณธรรม จิตสำนึก ยางอาย บ้านเมืองจึงอยู่ในสภาพเป็น “รัฐล้มเหลว”
คำพิพากษาศาลฎีกาในเรื่องสำคัญไร้ความหมาย องค์กรอื่นๆ ไม่ใส่ใจ ผู้กุมอำนาจรัฐไม่แยแส อยู่ไปแต่ละวันเพื่อปกป้องผลประโยชน์พวกพ้องและนายทุนใหญ่
รอวันตัดสินหรือวันแตกหักก็แล้วกัน ความเป็นหัวหงอกหัวดำ แก่พรรษาไร้ความหมาย ยึดเป็นแบบอย่างไม่ได้ แต่ละคนล้วนมีผลประโยชน์แฝงเร้นทั้งนั้น