เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องแวะไปเยี่ยมคุณพ่ออเมริกากันอีกสักรอบนั่นแหละทั่น!!! เพราะอีกแค่ประมาณ 3 เดือนข้างหน้าก็จะได้ฤกษ์ ได้เวลา “เลือกตั้งกลางเทอม”ของประเทศนี้กันอีกซะแร้น โดยถ้าว่ากันตาม “โพล”ตามแนวโน้มหรือโดยสีสันบรรยากาศทั่วๆ ไป โอกาสที่รัฐบาลพรรคเดโมแครตของ “ผู้เฒ่าโจ ไบเดน” น่าจะ “เดี้ยง...กับ...เดี้ยง”หรือต้องกลายสภาพเป็น “เป็ดง่อย” น่าจะมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...
เพราะไม่ว่าจะเป็นผลวิจัยของสำนัก “Bloomberg Economics study” เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ที่ฟันธงและฟันเฟิร์มเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ว่าโอกาสที่พรรครัฐบาลเดโมแครต อาจต้องสูญเสียที่นั่งในสภาสูง-สภาล่าง ให้กับพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามอย่างรีพับลิกันถึง 30-40 เก้าอี้เอาเลยก็เป็นได้ โดยไม่ได้ถือเป็นผลวิจัยที่ก่อให้เกิดความตื่นเต้ลล์ล์ล์มากมายสักเท่าไหร่ เนื่องจากไม่ว่าโดยการสำรวจ วิจัย ของโพลไหนต่อโพลไหน ล้วนแต่ออกมาในแนวนี้ด้วยกันทั้งนั้น เช่น โพลของ “ABC News/Ipsos” เมื่อช่วงอาทิตย์ที่แล้ว หรือเมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา ที่สรุปเปรียบเทียบไว้ชัดเจนถึงคะแนนนิยมของรัฐบาล ที่ตกต่ำไปกว่าพรรคฝ่ายค้านอย่างเห็นได้ชัดในแต่ละด้าน ไม่ว่าด้านการบริหารพลังงานที่เหลือคะแนนนิยมอยู่แค่ 24 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง ขณะที่ฝ่ายค้านมีอยู่ถึง 33 เปอร์เซ็นต์ ด้านมาตรการทางภาษีที่เดโมแครตมีแค่ 25 เปอร์เซ็นต์ ขณะรีพับลิกันมีอยู่ถึง 31 เปอร์เซ็นต์ ไปจนขีดความสามารถด้านการปราบปรามอาชญากรรม ขณะที่รีพับลิกันมีคะแนน 32 เปอร์เซ็นต์ เดโมแครตมีอยู่แค่ 25 เปอร์เซ็นต์ ฯลฯ หรือโดยรวมๆ ขณะคะแนนนิยมพรรคฝ่ายค้านอยู่ที่ประมาณ 33-34 เปอร์เซ็นต์ พรรครัฐบาลมีอยู่แค่ 23-25 เปอร์เซ็นต์ไม่เกินไปกว่านั้น...
ยิ่งเมื่อเจอกับ “ภาวะเงินเฟ้อ”ที่พุ่งพรวดๆ พราดๆ ไปถึง 11.3 เปอร์เซ็นต์ไปแล้วในทุกวันนี้ ดัชนีผู้ผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นไปถึง 18 เปอร์เซ็นต์ ดัชนีค่าบริการเพิ่มขึ้นอีก 8 เปอร์เซ็นต์ ฯลฯ ชนิดส่งผลให้ราคาอาหารระดับพื้นฐาน อย่างแซนด์วิชขนมปัง ไข่ เบคอนและชีส ที่เคยขายๆ กันดุ้นละ 92 บาท (2.5 ดอลลาร์) มาทุกวันนี้ปาเข้าไปถึงดุ้นละ 165 บาท หรือ 4.50 ดอลลาร์อเมริกัน เล่นเอารับประแ-กแทบไม่ลงกันไปเป็นแถบๆ จนกลายเป็นเรื่อง “ไม่แปลก” ที่บรรดาอเมริกันชนถึง 69 เปอร์เซ็นต์ หรือ 7 ใน 10 ของชาวอเมริกันทั้งมวล จะเกิดความรู้สึกว่า “เศรษฐกิจอเมริกา”นับวันมีแต่ต้องแย่ลงๆ มีแค่ 12 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่ยังเป็นประเภทโลกสวย หรือยังคิดว่ารัฐบาลยังมีขีดความสามารถที่จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่าง “Build Back Better”หรือดีขึ้นๆ ผลสรุปของโพลที่ทำโดย “Fox News” ช่วงล่าสุด จึงฟันธงและฟันเฟิร์มเอาไว้ชัดเจนว่า 75 เปอร์เซ็นต์ของอเมริกันชนทั้งมวล ล้วนเห็นพ้องต้องกันว่ารัฐบาลกำลังนำพาประเทศไปในแนวทางที่ผิด...
ด้วยเหตุนี้...โอกาสที่ “เลือกตั้งกลางเทอม” ในอีก 3 เดือนข้างหน้า พรรครัฐบาลย่อมมีแต่ “แพ้...กับ...แพ้” จึงมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ และภายใต้สภาพเช่นนี้นี่เอง ที่ทำให้นักวิเคราะห์อย่างเช่นผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองและการทหารของประเทศจีน “นายSong Zhongping”เขาเลยอดไม่ได้ที่ต้องชี้ชัดลงไปว่า ด้วยพื้นฐาน-ที่มาเช่นนี้นี่แหละ ที่ทำให้รัฐบาลของ “ผู้เฒ่าโจ ไบเดน”หนีไม่พ้นต้องงัดเอา “นโยบายสุดโต่ง”ในแต่ละด้าน ไม่ว่านอกประเทศ หรือในประเทศ มารับมือกับการไหลรูดของ “คะแนนนิยม”ที่กำลังรูดมหาราชยิ่งเข้าไปทุกที หรือนั่นเอง...ที่ทำให้เกิดแรงกระตุ้น แรงจูงใจ ในการ “ดื้อตาใส” ของคุณป้ามหาภัย “นางแนนซี เพโลซี”ประธานสภาอเมริกัน ในอันที่จะเดินทางมาเยือนเกาะเล็กๆ อย่างไต้หวันเมื่อเร็วๆ นี้ แม้ต้องขัดแย้งกับ “นโยบายคลุมเครือ” ของอเมริกาในประเด็นดังกล่าวที่เคยดำเนินต่อเนื่องมานานนับสิบๆ ปี หรือจำต้องงัดเอา “ไพ่ไต้หวัน” (Taiwan card) มาใช้ในการหาเสียง เพื่อกอบกู้คะแนนนิยม ที่กำลังรูดแล้ว-รูดอีกยิ่งเข้าไปทุกที...
พูดง่ายๆ ว่า...แม้เป็นอะไรที่ “เสี่ยง”ต่อการดำเนินนโยบายของอเมริกาต่อจีนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว แถมยังอาจกลายตัวเพิ่มแรงกดดันให้กับไต้หวันอีกด้วยต่างหาก โดยเฉพาะเมื่อถูกกองทัพภาคตะวันออกของจีนตอบโต้ด้วยการ “ปิดล้อม”ไปแทบทั้งเกาะอีกนานเท่าไหร่ก็ยังมิอาจสรุปได้ แต่เพื่อหาทางฟื้นคืนคะแนนนิยมกลับมาให้จงได้ การเพิ่ม “ความสุดโต่ง” ในนโยบายด้านต่างๆ มันจึงเริ่มปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่องเป็นระลอกๆ ไม่ใช่แต่เฉพาะนโยบายต่อมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนเท่านั้น กับมหาอำนาจคู่แข่งอีกรายอย่างรัสเซีย ก็ยิ่งก่อให้เกิดความหวีดหวิว ฉิวเฉียด หรือเพิ่ม “อัตราเสี่ยง” ยิ่งๆ ขึ้นไปตามลำดับ เช่น ความพยายามติดอาวุธร้ายแรงให้กับ “สงครามตัวแทน”อย่างยูเครน ถึงขั้นก่อให้เกิดคำร่ำลือว่าเหตุการณ์ระเบิดที่สนามบินทหาร “Saki Airbase” ในแหลมไครเมีย เมื่อไม่กี่วันมานี้ เป็นเพราะเหตุบังเอิญ หรือเป็นเพราะขีปนาวุธ “HIMARS” พิสัยทำการ 200 กิโลเมตร ที่อเมริกาเพิ่งส่งมอบให้กับกองทัพยูเครนกันแน่??? อันส่งผลให้ไม่เพียงแต่โอกาสหวนกลับคืนมาสู่การฟื้นสัมพันธภาพโดยปกติกับรัสเซีย อาจเลย “จุดยูเทิร์น” เอาง่ายๆ ยังอาจกลายเป็นตัวเพิ่มความเสี่ยงให้กับการยกระดับฉากสถานการณ์สงครามในแนวรบยุโรปตะวันออก ให้กลายเป็น “สงครามนิวเคลียร์”เอาง่ายๆ...
แต่ก็ไม่ใช่แค่เฉพาะนโยบายนอกบ้าน นอกประเทศเท่านั้น...แม้แต่ภายในประเทศ ความ “สุดโต่ง” ในลักษณะดังกล่าวก็ยังสามารถสะท้อนให้เห็นได้โดยชัดเจน นั่นคือการส่งกองกำลัง “FBI”โดยการตัดสินใจของกระทรวงยุติธรรม บุกเข้าค้นบ้านของ “คู่แข่งทางการเมือง”ตัวฉกาจ อย่างอดีตประธานาธิบดี “ทรัมป์บ้า”ณ รีสอร์ต “มาร์-อะ-ลาโก” (Mar-a-Lago) ในรัฐฟลอริดา เมื่อช่วงวันจันทร์ที่แล้ว (8 ส.ค.)นั่นเอง เรียกว่า...หอบปืน-ผา-หน้าไม้บุกพรวดๆ พราดๆ เข้าไปในบ้านของผู้ซึ่งเพิ่งดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศไปหมาดๆ งัดตู้เซฟ ตู้เอกสาร ด้วยเหตุผล ข้ออ้างว่าเพื่อค้นหาเอกสาร หลักฐาน ประเภทออกไปทาง “ลับสุดยอด”ทั้งหลาย ตั้งแต่เรื่องอาวุธนิวเคลียร์ ไปยันการช่วยเหลือพวกพ้อง เพื่อนฝูง การติดต่อกับผู้นำประเทศต่างๆ ในแต่ละราย อันอาจนำมาซึ่งการเอาผิดอดีตประธานาธิบดีและคู่แข่งทางการเมืองพรรคฝ่ายตรงกันข้าม ที่ยังคิดจะลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยหน้า ในข้อหาฝ่าฝืนกฎหมายการต่อต้านจารกรรม ชนิดอาจต้องติดคุกเป็นปีๆ หรืออาจถึง 5 ปีเอาเลยก็เป็นได้!!!
อันนี้นี่แหละ...ที่เลยทำให้บรรยากาศการเมืองในอเมริกา เผลอๆ...อาจจะหนักหนา-สาหัสยิ่งกว่าบ้านเราเอาเลยก็ไม่แน่ หรือทำให้ประเทศผู้นำโลก ประเทศแม่แบบประชาธิปไตยอย่างอเมริกา แทบมีสภาพไม่ต่างอะไรไปจาก “สาธารณรัฐกล้วย” หรือบรรดาประเทศโลกที่สามซึ่งยังอยู่ในช่วงระหว่างกำลังพัฒนาทั้งหลาย อันนี้...ถ้าว่ากันตามความคิด ความเห็น ของนักการเมืองฝ่ายตรงกันข้าม อย่าง “นายรอน เดอซานติส” (Ron DeSantis) ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา แห่งพรรครีพับลิกัน ที่แม้จะถือเป็นคำด่า เป็นข้อกล่าวหา ต่อว่า แต่ก็ออกจะมี “น้ำหนัก”รองรับอยู่ไม่น้อย เพราะโดยการกระทำดังกล่าวของกระทรวงยุติธรรมและ “FBI” ออกจะหนักไปทางทีเอ็งก็ทีข้า-ทีใครก็ทีมัน อย่างเห็นได้โดยชัดเจน...
คือขณะที่ลูกชายประธานาธิบดี อย่าง “นายฮันเตอร์ ไบเดน”(Hunter Biden) ถูกตั้งข้อกล่าวหา ข้อสงสัย ไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง แต่กระทรวงยุติธรรมและ “FBI”กลับไม่คิดจะบุกค้นหาหลักฐานใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ไปจนอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศพรรคเดโมแครตอย่าง “นางฮิลลารี คลินตัน” และแม้แต่อดีตประธานาธิบดี “บารัค โอบามา” ก็ไม่เคยต้องเจอกับมาตรการเช่นนี้ การเล่นงานคู่แข่งทางการเมืองอย่างอดีตประธานาธิบดี “ทรัมป์บ้า” เลยทำให้ “ประชาธิปไตยอเมริกา” ที่กำลัง “เสื่อม” ลงไปถึงจุดที่แทบไม่มีอเมริกันชนฝ่ายไหน พรรคไหน เชื่อมั่น-เชื่อถืออีกต่อไป เลยอาจนำไปสู่ความเป็น “ประชาธิป...ตาย”ในอีกไม่นาน-ไม่ช้า หรืออาจทำให้ข่าวคราวเรื่องการ “ปฏิวัติ...อเมริกา” ด้วยกำลังอาวุธ ของบรรดาพวกฝ่ายขวาจัดทั้งหลายยิ่งมีโอกาสอุบัติเป็นจริง-เป็นจังขึ้นมาในวันใด-วันหนึ่งเอาเลยก็ไม่แน่!!!