“สอดแนมการเมือง”
“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
“คำคม” สายลมตะวันตก VS “คำคม” สายลมตะวันออก เมื่อได้อ่าน.. พึงครุ่นคิดตรึกตรองไม่มากก็น้อย..จริงไหม?
“วินสตัน เชอร์ชิลล์” นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร หนึ่งใน “ผู้นำสำคัญ” ของฝ่ายสัมพันธมิตร ที่โด่งดังหลังจาก “เยอรมนี” นำกองทัพบุก “ฝรั่งเศส” โดย “เชอร์ชิลล์” ได้ใช้ความปราดเปรื่อง เด็ดเดี่ยว และกล้าหาญ โน้มน้าว “แฟรงกลิน ดี รูสเวลด์” ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา และ “โจเซฟ สตาลิน” ผู้นำของสหภาพโซเวียต ร่วมผนึกกำลังสร้างประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ ฝ่าวิกฤตสงครามโลกครั้งที่สอง พิชิต “ฝ่ายอักษะ” ที่นำโดย “เยอรมนี” กับพวกพ้อง นำสันติภาพคืนสู่โลกได้สำเร็จ..
“เชอร์ชิลล์” ได้รับรางวัลสาขาวรรณกรรม เมื่อปี ค.ศ.1963 เขาได้พูดไว้ในตอนหนึ่งว่า..
“นักการเมืองต้องมีความสามารถในการทำนายว่า จะเกิดอะไรขึ้นในวันพรุ่งนี้ อาทิตย์หน้า เดือนหน้า หรือปีหน้า และจะต้องเชี่ยวชาญในการอธิบายให้ได้ภายหลังว่า ทำไมสิ่งเหล่านี้ถึงไม่เกิดขึ้น”
อืม..“นักการเมือง” ต้องกะล่อนเก่ง ต้องทำท่าเป็น “นายรู้ดี” ต้องทำเสมือน “รู้ล่วงหน้า” เสมอ ทั้งๆ ที่ไม่มีความรู้อย่างแท้จริง
อ้อ!..“นักการเมือง” ต้องโกหกซึ่งหน้าได้ ต้องหน้าด้านทำเพื่อตัวเองกับพวงพ้อง...
โอว!..“นักการเมือง” ส่วนใหญ่ไหงจึงเลวเหมือนกันเช่นนี้..?
ทำไมสันดาน “นักการเมือง” ส่วนใหญ่ จึงไม่ลดละเลิกทำเลว หันมาทำดีล่ะ..เฮ้อ..?
“โทมัส เจฟเฟอร์สัน” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 3 ดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ.1801 ถึง 4 มีนาคม ค.ศ.1809 ผู้ประพันธ์ “คำประกาศอิสรภาพสหรัฐอเมริกา” ได้พูดไว้ตอนหนึ่งว่า
“ประชาธิปไตยนั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่ากฎหมู่ ซึ่งคน 51 เปอร์เซ็นต์ อาจลิดรอนสิทธิ์ของคนอีก 49 เปอร์เซ็นต์”
เฮ้ย!..เรื่องของ “เสียงข้างมาก” ต้องขอยก “คำสอน” ลุ่มลึกของ “ท่านพุทธทาส” ดังนี้..
“ประชาธิปไตย คือ ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ ไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่ ต้องให้ประชาชนได้รับประโยชน์เต็ม อย่างนั้นจึงจะเป็นประชาธิปไตย ไอ้ประชาชนเป็นใหญ่นั้นมันไม่แน่ ประชาชนบ้าบอก็ได้ ถ้าประชาชนเห็นแก่ตัวแล้วฉิบหายหมด”
ใช่เลย! รัฐบาล “เลือกตั้ง” กับ “รัฐประหาร” มักใช้ “เผด็จการรัฐสภา” ทำเรื่องชั่วร้ายต่อชาติ แถม “ผู้นำบางชาติ” ยังเคยพาชาติกับประชาชน เดินหลงทางถอยหลังลงเหว อย่างเช่นอดีตนายก“บิ๊กเหลี่ยม”รวยแล้วยังโกงชาติ กับนายกฯ “บิ๊กตู่” ที่ไม่ปฏิรูปชาติมานานเกือบ 8 ปี..หรือจะเถียง..?
“อับราฮัม ลินคอล์น” ประธานาธิบดีมะกันคนที่ 16 ดำรงตำแหน่งเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ.1861 จนกระทั่งถูกลอบสังหารในวันที่ 15 เมษายน ค.ศ.1865
“ลินคอล์น”ทำเรื่องเลิกทาสได้สำเร็จ แม้จะเกิดสงครามกลางเมือง คนมะกัน “ฝ่ายเหนือ” กับ “ฝ่ายใต้ ”สู้รบฆ่ากันเอง ทว่า..ในที่สุด “ฝ่ายลินคอล์น” ก็ประสบชัยชนะ โดยทหารทั้งสองฝ่ายต้องเสียชีวิตกว่า 500,000 นาย!
“ลินคอล์น”ได้พูดอมตะวาจาไว้ว่า.. “คุณอาจจะหลอกทุกคนได้ในบางเวลา หรืออาจจะหลอกบางคนได้ตลอดเวลา แต่คุณไม่สามารถหลอกทุกคนได้ตลอดเวลา”
ส่วน “เบนิโต มุสโสลินี” เผด็จการประเทศอิตาลี ในยุค “ฮิตเลอร์” ของประเทศเยอรมนี ได้พูดไว้สั้นๆอย่างน่าคิดว่า “ประชาธิปไตยนั้นงดงามในภาคทฤษฎี แต่เป็นความวิบัติในภาคปฏิบัติ”
อืม.. “มุสโสลินี” พูดแทงใจดำ สำหรับชาติกับประชาชนในแทบทุกที่ ที่ไม่พร้อมในหลากมิติ “ประชาธิปไตยเลือกตั้ง”มักสกปรกโสมม ประชาชนไม่เคยได้ “ผู้นำชาติดี” และ“นักการเมือง” ส่วนใหญ่ดี ไม่เคยได้ “สภาผู้แทนราษฎรดี” ที่ทำงานเพื่อชาติกับประชาชน มักได้แต่ “นักการเมืองสามานย์” ที่มุ่งแต่แสวงหาและกอบโกยผลประโยชน์ เพื่อเข้ากระเป๋าตัวเองกับพรรคพวกเท่านั้น
นั่นเป็นเศษเสี้ยวของ “คำคมตะวันตก”! ครานี้มาอ่าน “คำคมตะวันออก” เพียงส่วนน้อยบ้าง..
“เหมาเจ๋อตุง” ผู้ปฏิวัติและผู้นำชาติจีน ระบุเรื่องการเมืองแบบตรงไปตรงมาว่า
“การเมือง คือสงครามไร้เลือด สงคราม คือ การเมืองนองเลือด”
ยังมีคำคมความคิดต่ออีกว่า “เรื่องส่วนตัวแม้ใหญ่แค่ไหน ก็ยังเป็นเรื่องเล็ก เรื่องของชาติแม้เล็กแค่ไหน ก็เป็นเรื่องใหญ่”
“เหมาเจ๋อตุง” ยังเน้นถึงความดีทั้งสองด้านว่า “การที่เราเรียนรู้จากสิ่งที่เราไม่รู้ เราไม่เพียงทำดีในการทำลายโลกเก่า แต่ยังทำดีในการสร้างโลกใหม่ด้วย”
ความคิดทั้งสามเรื่องนี้ จริงแท้แน่นอน แต่ชาติต้องได้ “ผู้นำดี” อย่าง “เหมาเจ๋อตุง”!
อืม..ยังมีคำคมความคิดของ “ เหมาเจ๋อตุง” อีกหลายเรื่อง “ขอกั๊ก” ไว้เล่าในครั้งต่อไปนะครับ
“เติ้งเสี่ยวผิง” ผู้นำชาติจีนถัดจาก “เหมาเจ๋อตุง” เจ้าของความคิดเฉียบคมอันลือลั่นทั่วโลก ซึ่งทำให้เศรษฐกิจและสังคมชาติจีนก้าวกระโดดรุดหน้า จากชาติยากจนล้าหลัง กลายเป็นหนึ่งในชาติมหาอำนาจโลก ที่มีเทคโนโลยีล้ำยุคในหลากมิติ ก้าวพ้นความยากจนเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก ด้วยสูตร “ไม่ว่าแมวขาวหรือแมวดำ ขอเพียงจับหนูได้ก็คือแมวที่ดี”
“เติ้งเสี่ยวผิง” เคยตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิตหลายครั้ง แต่ก็มี “คน” ช่วย “เติ้ง”ให้รอดตายหลายครา จนถูกขนานนามเป็นดั่ง“แมวเก้าชีวิต”
อย่างไรก็ตาม.. “เติ้ง” ยึดหลักที่ชาวจีนกับชาวโลกยกย่อง และ“ผู้นำชาติดี”พึงกระทำตามอย่างยิ่งยวด นั่นคือ.. “อย่าตอบแทนบุญคุณส่วนตัว ด้วยผลประโยชน์ของประเทศชาติ”
นั่นเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยว“คำคม”ความคิดอันยิ่งใหญ่ ของอดีต“ผู้นำชาติจีนเติ้ง”
ครานี้มาส่อง“คำคม”ความคิดของ“สีจิ้นผิง” ประธานาธิบดีจีนคนปัจจุบัน ที่รับตำแหน่งสมัยแรก พ.ศ.2555-พ.ศ.2560 กับสมัยที่สอง พ.ศ.2561-พ.ศ.2566 ดูบ้าง..“เขา”ได้เปรียบเปรยไว้ว่า..
“..เศรษฐกิจจีนกว้างใหญ่กว่าทะเล ไม่ใช่สระขนาดเล็ก พายุฝนอาจทำลายสระขนาดเล็กได้ แต่ไม่สามารถทำอะไรทะเลได้ ต่อให้เกิดพายุฝนนับครั้งไม่ถ้วน ทะเลก็ยังคงเป็นทะเลต่อไป..”
ด้านปัญหาความยากจนของชาวจีนนั้น “สีจิ้นผิง” ใช้ปฏิบัติการจริงชี้นำรัฐบาลจีนว่า “การแก้ไขความเป็นอยู่ของประชาชน ไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดปลายทาง มีแต่จุดเริ่มต้นใหม่ที่ต่อเนื่องตลอดเวลา”
เรื่องนี้ “สหประชาชาติ” ยอมรับว่า..ชาติจีนร่วมกันแก้ความยากจนของประชาชนได้จริงๆ..
ส่วนการวิจารณ์พฤติกรรมของ “อินทรีมะกัน” ที่ทำตัวใหญ่เป็น “หัวหน้าแก๊งมาเฟียโลก” บั่นทอนทำลายความมั่นคงชาติที่อ่อนแอกว่า เพื่อปล้นทรัพยากรอันล้ำค่า ข่มขู่ให้ซื้ออาวุธสงคราม และเที่ยวเข่นฆ่าผู้คนกับยึดประเทศอื่นตามใจชอบ “มังกรจีนสีจิ้นผิง” พูดอย่างไม่อ้อมค้อมว่า
“ฆ่าแม่ไก่ เพื่อไข่ไก่ สูบทะเลสาบ เพื่อจับปลา ไม่ใช่สิ่งที่พึงกระทำอีกต่อไป”
ด้วยหลักคิดดังกล่าว “สีจิ้นผิง” จึงฟันธงว่า “ไม่ควรมีประเทศใดที่ผูกขาดการกำหนดระเบียบโลก และแทรกแซงกิจการของประเทศอื่น”
ความคิด “สีจิ้นผิง” ตามถ้อยคำด้านล่างนี้ ถ้าทำจริง ก็ต้องคารวะท่านด้วยสุรา “เหมาไถกัญชา” ที่ “สหายจีนคนหนึ่ง” มีน้ำใจนำมากำนัลให้หนึ่งไห ขอรินให้ “สีจิ้นผิง” ดื่มหนึ่งจอก ในฐานะ“พญามังกรจีน” ที่ได้พูดอย่างหนักแน่นว่า
“จีน ไม่คิดครองอำนาจ ไม่บีบเพื่อนบ้านที่เล็กกว่า”!
ส่วนเรื่องของ “ราษฎรจีน” หนึ่งพันกว่าล้านคนนั้น ปวงชนคงอยากจะรินสุราคนละจอก มอบให้ “สีจิ้นผิง” ที่ยึดหลักคุณธรรมด้านล่างอย่างมั่นคง เพื่อให้ “รัฐจีน” ทำงานด้วยจิตรับใช้ประชาชน..ด้วยการ..
“ขจัดความทุกข์ร้อนของราษฎร ดุจดังขจัดโรคร้ายของตนเอง”!!
“มิมีธรรมใดสูงกว่าการรักราษฎร มิมีความเลวใดทรามกว่าการทำร้ายราษฎร”!!!
เฮ้อ.. มอง “ผู้นำเขา” แล้วหันมามอง “ผู้นำเรา”.. รู้สึกวังเวง โหวงเหวงยิ่งนัก!!