xs
xsm
sm
md
lg

ถึงเวลาลง ก็ต้องลง!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: โสภณ องค์การณ์



“ลุงตู่สู้ๆ สู้ๆ ลุงตู่” เสียงร้องเชียร์จากประชาชนอย่างนี้ที่ “ลุงตู่” ไปได้ยินมา ทั้งในชุมชนเมืองหลวงและต่างจังหวัด จะเป็นเสียงจากความจริงใจจากแฟนๆ กับติ่งลุง หรือขบวนการจัดฉากที่มีการซ้อมให้ร้องก่อนก็ตาม เสียงนี้มีความจำเป็นจากนี้ไป

“ลุงตู่” ถึงเวลาที่จะสู้ศึกเพื่อความอยู่รอด มีศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้วินิจฉัย ว่าที่ผ่านมา “ลุงตู่” ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือตำแหน่งอะไรที่เป็นผู้นำรัฐบาลครบ 8 ปี แล้วหรือยัง

ถ้าครบแล้วก็หมดสิทธิ์ที่จะได้เป็นนายกฯ ต่อไปตามข้อห้ามของรัฐธรรมนูญ

เก็บกระเป๋ากลับบ้านไปสู่อนาคตที่ไม่รู้ว่าจะเป็นอะไร อาจเป็นตำแหน่งใหม่ เต็มไปด้วยเกียรติยศ ดูมีสง่าราศีแต่ว่าจะโลดแล่นเหมือนคนปกติไม่ได้เสียแล้ว

นั่นอาจเป็นภารกิจใหม่ที่คนอย่าง “ลุงตู่” สมควรได้รับอย่างยิ่ง

แต่การที่ยังทำท่าอึมครึม สร้างเงื่อนปมประเด็นกฎหมายให้ต้องเป็นเรื่องถกเถียงกับข้อเท็จจริง ไม่บอกว่าจะอยู่หรือจะไป อยากให้ศาลวินิจฉัยให้รู้ดำรู้แดงนั่นแสดงออกให้เห็นเจตนาของ “ลุงตู่” ว่าอยากอยู่ต่อ และอยากอยู่ต่อมาก

จะอยู่ต่อเพื่ออะไร อยู่ต่อหาอะไรนั้น “ลุงตู่” ไม่เคยบอก

ชาวบ้านต้องเดาเอง สายติ่ง กองเชียร์ก็บอกว่าถ้าไม่เอา “ลุงตู่” แล้วจะเอาใคร อ้างว่าในประเทศไทยนี้ต้องเป็น “ลุงตู่” คนเดียวเท่านั้น คนอื่นจะเป็นไปไม่ได้เลย

ทำกับว่าถ้าไม่ใช่ “ลุงตู่” แล้ว บ้านเมืองจะต้องล่มจมเลย อันที่จริงตามสภาพ 8 ปี “ลุงตู่” ไม่ได้เก่งฉกาจอย่าง “ข้ามาคนเดียว” มีอีก 2 ลุงช่วยกันหาม อุ้มให้อยู่ในอำนาจ พร้อมกับสร้างความกำกวมว่ากองทัพสนับสนุนให้อยู่ด้วยนะ

ดังนั้น “ลุงตู่” จึงไม่ใช้ดาวฤกษ์ที่มีแสงอยู่ในตัว โดดเด่นเป็นสง่า มี 2 ลุงรุ่นพี่อุปถัมภ์แลกกับผลประโยชน์ต่างๆ ที่ตัวเองและบริวารได้ตักตวงผ่านงานต่างๆ

แต่ละคนรวยอู้ฟู่สะดือปลิ้น พุงกางจนเดินแทบไม่ไหว กิน 10 ชาติก็ไม่หมด

เมื่อเป็นอย่างนี้ ชาวบ้านก็มองว่า “ลุงตู่” เสพติดอำนาจจนงอมแงม เลิกราไม่ได้ใช่หรือไม่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก ผู้นำที่มาจากรัฐประหารอยู่ในอาการแบบนี้ ยิ่งถ้าทำไม่ดี มีทุจริต คอร์รัปชันก็ยิ่งกว่าวัวสันหลังหวะ กลัวมีโจทย์รอเช็กบิลเยอะ

“ลุงตู่” และอีก 2 ลุงมีสิทธิเข้าข่ายอย่างนี้ ต่อให้มีอำนาจอย่างไร ถ้าวันไหนขาลอยหลุดจากตำแหน่งเมื่อไหร่ ชีวิตคงไม่มีใครแวดล้อม ชื่นชมบุญบารมีแน่

หรือ “ลุงตู่” คิดว่าตัวเองเป็นเลิศในปฐพี ความรู้ ความสามารถไม่มีใครเกิน ถ้าคิดอย่างนี้ ถ้าไม่หลงตัวเอง ก็ถือว่าเสพติดอำนาจจนหัวหูมืดมัว เป็นคนที่ชาติขาดไม่ได้ ในความเป็นจริง คนอย่างนั้นไม่มีในโลก เก่งอย่างไรก็กลับบ้านเก่าทุกราย

แล้ว “ลุงตู่” จะอยู่เพื่ออะไร เพราะการสำรวจความเห็นของประชาชนแต่ละครั้ง ความนิยมตกต่ำไม่เคยเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ ทั้งที่อยู่ 8 ปี มีอำนาจสารพัดล้นทำเนียบ

ถ้าใครมาตอแยก็จะมีตู้คอนเทนเนอร์แถวยาวปกป้องยิ่งกว่าไข่ในหิน ท่ามกลางคนจนกว่า 20 ล้านคน และคนที่มีทุกข์เพราะหนี้สินสารพัด “ลุงตู่” จัดว่าเป็นผู้มีความสุขที่สุดในแผ่นดิน ชีวิตไม่มีค่าใช้จ่าย หลายอย่างฟรีพร้อมความมั่งคั่ง

มาทำงานส่วนใหญ่ ตามเวลาราชการ หยุดเสาร์-อาทิตย์ โดยเฉพาะวันเสาร์ต้องเล่นกอล์ฟที่สนามเจ้าสัวน้ำเมาพร้อมกับก๊วน 5-6 คน ปิดสนามเล่นเป็นวีไอพี

ส่วนใหญ่ไม่เคยพลาด เว้นจะมีงานสำคัญเท่านั้น ในจำนวน 4 เสาร์ในแต่ละเดือน ส่วนใหญ่จะเล่นกอล์ฟทุกเสาร์ สะท้อนให้เห็นคนไร้ทุกข์ ไม่มีเรื่องต้องกลัดกลุ้มใจ ในสนามกอล์ฟไม่ต้องรับรู้ปัญหาของคนยากดีมีจน มีแต่อารมณ์รื่นเริง

ดูแล้วงานก็ไม่เยอะ เมื่อคำนึงถึงวิกฤตที่ชาติเผชิญอยู่ ไม่มีแรงกดดัน แต่เมื่อพบประชาชนครั้งใดจะอ้างว่าพยายามทำงานเต็มที่ เหนื่อยแสนเหนื่อย แต่ไม่ท้อ

เป็นการทวงบุญคุณซึ่งหน้า ระยะเผาขน ชาวบ้านสะอึกเพราะไม่นึกว่าต้องเป็นหนี้บุญคุณ “ลุงตู่” ผู้เสียสละ ไม่ท้อต่อความเหนื่อยยาก ทั้งๆ ที่วิกฤตการเงิน การเมือง เศรษฐกิจ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเพราะพิษเรื้อรังของฝีดาษ 3 ลุงทั้งนั้น

อยู่มา 8 ปี ได้ทำให้โครงสร้างบ้านเมืองเสื่อมโทรมทุกด้าน จนเปราะบางแทบล่มสลาย ประเทศไทยไม่เคยต้องมีอนาคตที่มืดมนอย่างนี้มาก่อน เมื่อคนจนกว่าครึ่งแผ่นดิน ขณะที่เสนาบดีสะสมความสุข ความมั่งคั่ง ความผยอง ลำพองอำนาจ

ความนิยมต่อตัว “ลุงตู่” ประเมินได้ชัดเมื่อมีองค์กรต่างๆ ได้สำรวจความเห็นคู่ขนานไปกับงานอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่มีใครได้คะแนนความนิยมเกิน 3 เปอร์เซ็นต์จากประชาชนกว่า 5 แสนราย เป็นความเบื่อหน่าย เอือมระอาอย่างที่สุดแล้ว

“ลุงตู่” จะอยู่ต่อไปทำไม อ้างว่าให้เป็นเรื่องของศาล บางอย่างเป็นเรื่องของจิตสำนึก การยอมรับว่าตัวเองมีขีดจำกัดด้านความรู้ ความสามารถ ไม่ใช่เทวดาเดินดิน ถ้าเก่งจริง มีฝีมือจริง บ้านเมืองคงไม่อยู่ในสภาวะน่าอนาถอย่างนี้ ใช่หรือไม่

การลงจากเก้าอี้ ไม่ว่าตัวเองจะยอมรับเรื่องวาระ 8 ปีตามกฎหมายหรือเทคนิคก็ตาม ยังเหลือความน่าดู น่ายอมรับได้บ้าง การดันทุรังอยู่ต่อด้วยวิธีศรีธนญชัย อภินิหารทางกฎหมาย หรือความช่วยเหลือของ “กฎแห่งการยกเว้น” เป็นความอัปยศ

เมื่อดึงดัน ไม่ฟังเหตุผล ประชาชนก็มีสิทธิไม่ฟังเหตุผล เกิดขึ้นหลายครั้งในประเทศเราเมื่อความอดทนถึงขีดสุด กฎหมายควบคุมฝูงชนช่วยอะไรไม่ได้ ภาวะฉุกเฉินไร้ความหมาย ตัวอย่างล่าสุดคือผู้นำศรีลังกาตระกูล “ราชปักษา” นั่นไง

เชื่อเถอะ ถ้าดันทุรัง เสียงตะโกน “ลุงตู่สู้ๆ” เอาไม่อยู่หรอก จะบอกให้!


กำลังโหลดความคิดเห็น