คงไม่น่าจะถึงกับ “ชัชชาติ” (เว่อร์) จนเกินไป...ถ้าหากต้องเปิดฉากสัปดาห์นี้ด้วยข้อสรุปที่ว่า น่าจะ “ใกล้เต็มที” แล้วล่ะทั่นสำหรับการ “จุดไฟนรกสุดขอบฟ้า”ขึ้นมาอย่างเป็นกิจจะลักษณะ อย่างเป็นทางการ หรือใกล้ถึงขีดสุดของช่วงเวลาแห่ง “สงครามโลกครั้งที่ 3” ยิ่งเข้าไปทุกที!!!
โดยเฉพาะถ้าว่ากันตามทัศนะ ตามมุมมอง ของผู้นำทางจิตวิญญาณระดับโลก อย่างเช่น “พระสันตะปาปา ฟรานซิส” แห่งศาสนจักรคาทอลิกที่มีผู้เคารพนับถืออยู่ครึ่งโลก ค่อนโลก ซึ่งได้เคยสรุปเอาไว้เมื่อไม่นานมานี้นั่นแหละว่า โดยทัศนะของท่าน สิ่งที่เรียกว่า “สงครามโลกครั้งที่ 3” มันได้อุบัติขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้ป่าวประกาศอย่างเป็นทางการหรืออย่างเป็นกิจจะลักษณะเท่านั้นเอง อีกทั้งถ้าดูจากฉากสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของแนวรบสำคัญๆ ในทุกๆ แนวรบ มันก็ออกจะเป็นไปตามนั้น อย่างมิอาจปฏิเสธได้เลยแม้แต่น้อย ไม่ว่า “แนวรบยุโรปตะวันออก” ที่ไฟสงครามยังลุกพึ่บๆ พั่บๆ อยู่ใน “สมรภูมิยูเครน” ชนิดหาจุดจบ จุดลงตัว แทบไม่เจอ...
ขณะเดียวกันกลับถูกเติม ถูกเพิ่มเชื้อ ให้โหมกระพือลุกลามมาสู่ “แนวรบทะเลจีนใต้” ด้วยการเดินทางมาเยือนไต้หวันของประธานสภาฯ สหรัฐฯ จนต้องเจอกับการตอบโต้ของจีนด้วยมาตรการต่างๆ ที่ยิ่งทำให้เกิด “ทางตัน”ในการหาความร่วมมือ หาข้อยุติ ต่อความขัดแย้ง แตกต่าง ในฉากสถานการณ์ดังกล่าวยิ่งขึ้นไปอีก ไม่ต่างไปจาก “แนวรบตะวันออกกลาง” ที่เมื่อช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมานี้เอง (5 ส.ค.) จะด้วยเหตุเพราะต้องการเพิ่มคะแนนนิยมในการเลือกตั้งครั้งใหม่ของอิสราเอล ที่เลือกมาแล้วสี่ซ้าห้าครั้ง ก็ยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ลงไปซะที เลยต้องเกิดการหันไปถล่มพวกปาเลสไตน์และต้องเจอกับการตอบโต้ด้วยการยิงจรวดนับร้อยๆ ลูกกลายเป็นสงครามย่อมๆ ขึ้นมาอีกจนได้ นั่นยังไม่รวมไปถึงการแสดงอาการกระเหี้ยนกระหือรือของบรรดาลูกหลานชาวยิวทั้งหลาย ที่หวังถล่มโรงงานปฏิกรณ์นิวเคลียร์อิหร่านก่อนที่จะเกิดการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมไปจนถึงจุดซึ่งสามารถผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้ จนเกิดการเตรียมการระดับเงื้อแล้ว เงื้ออีก ขึ้นอยู่กับช่วงจังหวะและโอกาส ว่าเมื่อไหร่? ตอนไหน? เท่านั้นเอง...
พูดง่ายๆ ว่า...ทุกๆ แนวรบเมื่อถึง ณ ขณะนี้ ต่างเต็มไปด้วย “ไฟสงคราม”ลุกพึ่บๆ พั่บๆ ชนิดหาทางดับหาทางบรรเทาเบาบางแทบไม่ได้ โดยสิ่งที่น่ากลัว น่าสยดสยอง น่าขนลุกขนพองยิ่งไปกว่านั้น ก็คือด้วยสีสันบรรยากาศทำนองนี้ มันกำลังกลายเป็นตัวเพิ่ม “ความเป็นไปได้” ในการที่แต่ละฝ่ายจะชี้วัดตัดสิน หรือเอาแพ้-เอาชนะระหว่างกันและกัน ด้วยอาวุธที่สุดแสนจะอันตราย หรือที่รู้จักกันในนาม “ขีปนาวุธนิวเคลียร์” นั่นเอง!!! อย่างที่ผู้อำนวยการสถาบัน “The Global Network Against Weapons and Nuclear Power in Space” “นายบรูซ แกกนอน”(Bruce Gagnon) ได้ออกมาตั้งข้อสังเกต ตั้งข้อสมมติฐาน เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ว่าด้วยแรงกระตุ้นและการปลุกปั่นในระดับสามารถถือเป็น “แนวนโยบาย”หรือเป็น “ยุทธศาสตร์”ของผู้นำโลกอย่างคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรนาโตนั่นเอง กำลังกลายเป็นตัวสร้าง “เงื่อนไข”ให้กับฉากสถานการณ์ที่จะต้องอาศัยการวัด ตัดสิน กันด้วย “อาวุธนิวเคลียร์” มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...
ไม่ต่างไปจากนักการทูตอาวุโสและผู้บริหารด้านนโยบายกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย “นายอเล็กเซย์ โดรบินิน” (Alexey Drobinin) ที่ได้แสดงความคิด ความเห็น เผยแพร่ในนิตยสาร “Mezhdunarodnaya Zhizn”เมื่อช่วงวันพุธสัปดาห์ที่แล้ว (3 ส.ค.) ถึงฉากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่าง “มหาอำนาจสูงสุด” อย่างอเมริกากับ “มหาอำนาจคู่แข่ง”ทั้งหลาย หรือระหว่างพวก “โลกขั้วเดียว”กับพวก “หลายขั้วอำนาจ” ในแต่ละราย ที่กำลังส่งผลให้แต่ละฝ่ายหนีไม่พ้นต้องหันกลับมาให้ความสนใจต่อการพัฒนาขีดความสามารถด้านนิวเคลียร์ของตัวเอง อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ด้วยเหตุอันเนื่องมาจากการแสดงออกถึงอากัปกิริยาท่าที 2 อย่าง 2 ประการ ของมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกา ที่เห็นได้โดยชัดเจน นั่นก็คือทั้ง “ปลดเปลื้อง” ทั้ง “ปลุกปั่น”ให้เกิดฉากสถานการณ์ต่างๆ อย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการ...
คือในขณะที่ด้านหนึ่งหันไปฉีกทิ้ง รื้อทิ้ง บรรดาข้อตกลง หรือสนธิสัญญาต่างๆ ที่เคยทำไว้กับมหาอำนาจนิวเคลียร์อย่างอดีตสหภาพโซเวียต เช่นการฉีกสัญญาข้อตกลงว่าด้วยการต่อต้านขีปนาวุธข้ามทวีป (The Anti-Ballistic Missile Treaty-ABM) ในยุครัฐบาล “จอร์จ ดับเบิลยู. บุช”การไม่คิดปฏิบัติตามสนธิสัญญาควบคุมขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง (The 1987 Intermediate-Range Nuclear Force Treaty-INF) ในยุครัฐบาล “ทรัมป์บ้า”ไปจนการยืดไป-ยืดมา ไม่ได้แสดงออกถึงความกระตือรือร้น ในอันที่จะทบทวนหรือขยายเวลาสนธิสัญญาจำกัดหัวรบนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ (The New Strategic Arms Reduction Treaty-New START) ที่กำลังหมดอายุในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หรือปี ค.ศ. 2026 ฯลฯ แต่ขณะเดียวกันก็กลับหันไปปลุกปั่น ยุยงส่งเสริมให้เกิดการปะทะ ขัดแย้งในแนวรบต่างๆ พยายามขยายขอบเขตอำนาจอิทธิพลของตัวเอง เพื่อหวัง “ควบคุมโลกทั้งโลก” ให้จงได้ อย่างที่ “นายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ” (Sergey Lavrov) รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ได้แสดงความเห็นเอาไว้ในเวทีประชุม “East Asia Summit” ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อช่วงวันศุกร์ที่แล้ว (6 ส.ค.) นั่นเอง...
ด้วยอากัปกิริยาเช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้มหาอำนาจฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่ารัสเซียหรือจีน หนีไม่พ้นต้องหันมาให้ความสนใจต่อขีดความสามารถด้านนิวเคลียร์ของตัวเอง อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ หรือยิ่งทำให้ “ความเป็นไปได้” ที่จะต้องวัดตัดสินชัยชนะ-ความพ่ายแพ้ในห้วงระยะสุดท้าย ด้วยอาวุธอันสุดแสนอันตรายอย่าง “ขีปนาวุธนิวเคลียร์”ในมือของแต่ละฝ่ายเอาเลยก็ไม่แน่!!! และถ้าหากต้องเป็นไปรูปนั้น โอกาสที่จำนวนผู้สูญเสีย ล้มตาย ที่ถูกระบุเอาไว้ในคำทำนายบท “วิวรณ์” ของ “พระคัมภีร์ไบเบิล”ว่าประมาณ “สองร้อยล้านศพ” เป็นอย่างน้อย ย่อมมีสิทธิ์เป็นจริง-เป็นจังขึ้นมาได้ไม่ยากส์ส์ส์ อันนี้นี่แหละที่เป็นอะไรที่น่าสยดสยองพองขน น่าขนหัวลุกเอามากๆ แม้แต่ประเทศเล็ก ประเทศน้อยที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ไม่คิดจะร่วมอยู่ในความขัดแย้ง การแบ่งข้าง แบ่งฝ่าย ของมหาอำนาจรายใด ฝ่ายใดก็ตาม เพราะโอกาสที่ต้องเจอกับ “หางเลข” เจอกับ “ลูกหลง”ย่อมเป็นไปได้เสมอๆ...
อย่างไรก็ตาม...ถ้าฟังจากน้ำเสียงของผู้นำโลก ที่ถือเป็นมหาอำนาจคู่แข่ง เป็นฝ่ายตรงข้ามอเมริกา อย่างประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน” แห่งรัสเซีย แม้ว่าเพิ่งจะสั่ง “เตรียมพร้อม”กองกำลังอาวุธนิวเคลียร์ ระหว่างที่ต้องเผชิญหน้ากับอเมริกาและยุโรปทั้งยุโรปใน “สงครามตัวแทน” ณ สมรภูมิยูเครนไปหมาดๆ แต่จากคำพูด คำจา เมื่อไม่กี่วันมานี้ถึงฉากสถานการณ์ที่อาจต้องงัดเอาอาวุธนิวเคลียร์มาใช้เป็นเครื่องวัดตัดสิน โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า... “ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ...ในสงครามนิวเคลียร์และเราต้องไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้น” ก็พอสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่เรียกว่า “สติ”ได้พอประมาณ เพียงแต่ว่าภายใต้ฉากเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากเป็น “ฝ่ายแพ้”ไปด้วยกันทุกฝ่าย การปิดช่อง ปิดโอกาส การรื้อสะพานถอยหลัง ทำลายช่องทางที่จะติดต่อสื่อสาร เพื่อสร้างความเข้าใจ ความร่วมมือ ระหว่างกันและกันลงไปครั้งแล้ว-ครั้งเล่า แถมยังพร้อมจะปลุกปั่น สร้างเงื่อนไข ในการ “เอาชนะ”ซึ่งกันและกันในแนวรบแต่ละแนวรบ จนทำให้เกิดการหวนกลับมาสร้างขีดความสามารถด้านนิวเคลียร์ของแต่ละฝ่าย กลายเป็นเรื่องเอาจริง-เอาจังขึ้นมาอีกครั้ง...
อันนี้...ย่อมทำให้โลกทั้งโลกยิ่งกลายเป็น “โลกที่อันตราย”ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น เผลอๆ...อาจอันตรายยิ่งกว่ายุค “สงครามเย็น” ไปแล้วก็ว่าได้ เพราะช่วงนั้นต่างฝ่ายต่างยังพอเข้าใจถึง “ข้อเท็จจริง” อันเนื่องมาจากความพังพินาศฉิบหาย จากผลแห่งการทำลายล้างกันด้วยอาวุธนิวเคลียร์ จนเกิดทางออก เกิดข้อยุติ ในกรณี “วิกฤตคิวบา” ระหว่างอเมริกากับโซเวียตรัสเซียเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว แต่มาถึงขณะนี้...แบบอย่าง ตัวอย่าง ในการหาทางออก ทางไปจากวิกฤตในลักษณะดังกล่าว ดูจะกลายเป็นสิ่งที่บรรดาผู้นำมหาอำนาจทั้งหลาย ชักจะลืมๆ กันไปหมดแล้ว!!!