หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ชี้นิ้วไปที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีว่า เป็นคนทำปฏิวัติคนเดียวไม่เกี่ยวกับตัวเอง ในขณะที่พล.อ.ประยุทธ์ ยิ้มแย้มยกมือรับอย่างไม่ขัดเขิน
พล.อ.ประวิตรพูดไม่ผิดหรอกว่าพล.อ.ประยุทธ์เป็นคนลงมือยึดอำนาจเพราะเป็นผู้บัญชาการทหารบกในตอนนั้นร่วมกับเหล่าทัพต่างๆ แต่ต่อมาคำสั่งคสช.ฉบับที่ 22 ก็ประกาศแต่งตั้งพล.อ.ประวิตร เป็นประธาน และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นรองประธาน พร้อมบุคคลอื่นรวม 10 คน และต่อมาทั้งสองก็เป็นแกนหลักในการเข้าร่วมรัฐบาลคสช.ต่อเนื่องมาจนถึงรัฐบาลเลือกตั้งในปัจจุบัน สะท้อนถึงสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นของ 3 ป.
2 ใน 10 ที่กระเด้งกระดอนไปแล้วคือม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ขุนพลเศรษฐกิจที่วันนี้พล.อ.ประยุทธ์มานั่งตำแหน่งนั้นเองท่ามกลางคำถามของสังคมถึงความรู้และความเข้าใจ
ต้องยอมรับแหละว่านี่เป็นยุคสมัยที่อยู่ในมือของ3ป.
พล.อ.อนุพงษ์หรือบิ๊กป๊อกนั้นเงียบเชียบไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับใคร ส.ส.ในพรรคก็เข้าถึงตัวยากจนปรากฏข่าวตลอดเวลาว่าส.ส.ในพรรคเรียกร้องให้เปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นพล.อ.ประวิตร และนำมาสู่การโหวตสวนในสภาของกลุ่มส.ส.ปากน้ำ ที่หลังโหวตกรุงศรีวิไลก็ก้มลงกราบแทบเท้าพล.อ.ประวิตร ตามมาด้วยสัญญาว่าจะจัดเก้าอี้รัฐมนตรีให้กลุ่มปากน้ำ
เคยมีข่าวว่าลูกชายพล.อ.อนุพงษ์ทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าขยะ จนเคยมีหมายว่า ลูกชายจะขอเข้าพบผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตเพื่อคุยเรื่องโรงไฟฟ้าขยะ แต่เมื่อหมายนัดดังกล่าวรั่วไหลปรากฎออกมาสู่สถานะก็มีการปฏิเสธว่าไม่ได้นัดหมายกันแต่อย่างใด พร้อมกับปฏิเสธว่าลูกชายไม่ได้ทำธุรกิจดังกล่าว สวนทางกับการรับรู้ของสังคม โดยมีแต่ธุรกิจในทางเปิดว่าลูกชายของพล.อ.อนุพงษ์นั้นทำธุรกิจเกี่ยวกับสปา
พล.อ.ประวิตร หรือบิ๊กป้อมนั้น เปรียบเหมือนกับผนังทองแดงกำแพงเหล็กของพล.อ.ประยุทธ์ แม้ในรัฐบาลปัจจุบันพล.อ.ประยุทธ์ จะยกที่นั่งให้เป็นเพียงรองนายกรัฐมนตรี แต่อำนาจบารมีของพล.อ.ประวิตรในฐานะพี่ใหญ่ของพล.อ.ประยุทธ์ก็มากล้นฟ้า จนว่ากันว่า ไม่ว่าใครจะขึ้นสู่ตำแหน่งไหนในหน่วยงานรัฐหรือการประมูลงานภาครัฐ ถ้าวิ่งเข้าบ้านป่ารอยต่อแล้วจะไม่ผิดหวัง
พล.อ.ประวิตรเหมือนกับคนที่แอ่นอกรับกระสุนแทนพล.อ.ประยุทธ์ เป็นมือประสานสิบทิศที่คอยปัดเป่าไม่ให้พล.อ.ประยุทธ์มีภัย แม้จะเป็นพี่ใหญ่น้ำใจกว้างขวางที่เป็นฐานค้ำยันพล.อ.ประยุทธ์ให้มีความมั่นคงทางการเมือง แต่ติ่งของพล.อ.ประยุทธ์ก็มองพล.อ.ประวิตรด้วยภาพติดลบกระทั่งมองว่าเป็นตัวถ่วงรั้งพล.อ.ประยุทธ์
ขณะที่พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีภาพของการเปิดประตูรับทุกฝ่าย ปิดเงียบอยู่ในบ้านพักภายในค่ายทหาร ไม่เปิดให้ใครมาวิ่งเต้นเรื่องนั้นเรื่องนี้เหมือนกับบ้านของพล.อ.ประวิตร แม้แต่งานการเมืองก็ปล่อยให้พล.อ.ประวิตรรับมือคอยจัดการปัญหากับลูกพรรคและบรรดาพรรคปัดเศษ พล.อ.ประยุทธ์จึงมีภาพลักษณ์ที่แตกต่างกับพล.อ.ประวิตรในฝั่งมวลชนที่ให้การสนับสนุน
มีคนบอกว่ามีคนที่อยู่เหนือพล.อ.ประยุทธ์มีคนเดียวคือภรรยาที่ดูโลว์โปรไพล์
เรียกว่า พล.อ.ประวิตรรับบทมาร แต่พล.อ.ประยุทธ์เป็นเทพ แต่บทมารของพล.อ.ประวิตรก็เป็นบทมารที่มากบารมีที่ค้ำยันบัลลังก์ของพล.อ.ประยุทธ์ แบบว่า ตู่ทำงานไปที่เหลือพี่ป้อมจะจัดการให้เอง ถ้าไม่มีพล.อ.ประวิตรพล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่อาจจะเดินได้โดยลำพัง
แม้หลายครั้งดูเหมือนว่าทั้งพล.อ.ประยุทธ์และพล.อ.ประวิตรจะกินแหนงแคลงใจกัน แต่ถูกสยบด้วยคำยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้เพราะทั้งสองรวมไปถึงพล.อ.อนุพงษ์ด้วยนั้นมีสายสัมพันธ์ที่ยึดโยงกันมายาวนาน ครั้งหนึ่งพล.อ.ประวิตรเคยพูดว่า “อยู่ด้วยกัน รักกัน ไม่ได้มีอะไร มาเสี้ยมให้แตกทำไม ไม่มีทางเสี้ยมให้แตกกันได้ เพราะผมอยู่ด้วยกันมานานตั้งแต่นายกฯ เป็นร้อยตรี”
หรือครั้งหนึ่งพล.อ.ประวิตรเคยพูดว่า “ใครก็รู้กันทั้งนั้นว่าไม่มีปัญหา ส.ส.พรรคพลังประชารัฐทุกคนต่างรู้ดีว่าผมกับนายกรัฐมนตรีไม่มีปัญหากัน จะมีแต่นักข่าวเท่านั้นที่คอยเสนอข่าวทะเลาะกัน ผมกอดคอกับนายก สนิทสนมกันมา 50 กว่าปี ข่าวออกมา บ้าบอทั้งสิ้น จำไว้ ให้ตายจากกัน เรา 3 ป. ถึงจะเลิกรักกัน บ้าบอมากกับข่าวทะเลาะกัน”
หลายคนก็เชื่อเช่นนั้น เพราะมองว่าบุคลิกแบบพล.อ.ประยุทธ์ ไม่สามารถอยู่ในการเมืองโดยขาดบารมีของพล.อ.ประวิตรได้
แต่สภาพปัจจุบันของกระแสพล.อ.ประยุทธ์ที่ตกต่ำลงและกระแสของพรรคพลังประชารัฐที่ไม่เข้มแข็งเหมือนเดิมแล้ว และมีความเป็นไปได้ว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้าตัวหลักๆของพรรคหลายคนอาจจะไปซบพรรคอื่นทั้งพรรคภูมิใจไทยที่กำลังมาแรงหรือไหลกลับพรรคเพื่อไทยของทักษิณที่กำลังเคาะกะลาให้คนเก่าๆ กลับมาร่วมงานกับพรรคด้วยกระแสว่าพรรคของทักษิณจะแลนด์สไลด์ในการเลือกตั้งครั้งหน้า
ต้องยอมรับว่าส.ส.ในพรรคหลายคนหวั่นไหวและพุ่งเป้าไปที่พล.อ.อนุพงษ์ ในฐานะรัฐมนตรีมหาดไทยซึ่งเป็นกระทรวงที่มีบทบาทสำคัญในการเลือกตั้งว่าไม่มีปฏิสัมพันธ์กับลูกพรรคและเปิดให้ใช้แต้มต่อในฐานะที่คุมกระทรวงมหาดไทยเป็นประโยชน์กับพรรคเลยเกิดกระแสเรียกร้องให้พล.อ.ประวิตรไปนั่งเก้าอีรัฐมนตรีมหาดไทยแทน
แต่ดูเหมือนว่าพล.อ.ประยุทธ์จะไม่ตอบสนองข้อเรียกร้องดังกล่าว เฉพาะหลายคนเชื่อว่าความแนบแน่นของพล.อ.ประยุทธ์กับพล.อ.อนุพงษ์นั้นมีมากกว่าพล.อ.ประยุทธ์กับพล.อ.ประวิตรพี่ใหญ่ เพราะมีรุ่นที่ไม่ห่างกันนัก และบุคลิกของพล.อ.อนุพงษ์ในสายตาของมวลชนที่สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์นั้นดูดีกว่าพล.อ.ประวิตร
ในขณะที่อาจเป็นเช่นนั้นก็เกิดคำถามว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคพลังประชารัฐจะดึงอดีตส.ส.หรือพลังของบ้านใหญ่ในจังหวัดต่างๆ เอาไว้ได้กี่คนไม่ให้หนีทิ้งพรรคไป ในขณะที่ส.ส.เชื่อว่าสายลมของทักษิณกำลังมาแรง
และเกิดคำถามว่า กระแสที่ตกต่ำของพล.อ.ประยุทธ์และพรรคพลังประชารัฐนั้นจะสามารถเอาชนะในการเลือกตั้งครั้งหน้าได้หรือไม่ เพราะต้องยอมรับว่า ภาพของ 3 ป.นั้นเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจเผด็จการที่สืบเชื้อมาจากคณะรัฐประหาร แม้จะผ่านการเลือกตั้งมาแล้วหนึ่งสมัยก็ยังสลัดคลาบไคลของเผด็จการไม่พ้น ในขณะที่คนรุ่นใหม่ที่ยึดมั่นกับกระแสประชาธิปไตยและต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมกำลังเป็นตัวตัดสินสำคัญในการเลือกตั้งครั้งหน้า
ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่าความจำเป็นที่ต้องดำรงอยู่ของ 3 ป.นั้นถูกผูกโยงเข้ากับความมั่นคงของยุคสมัย ที่ต้องการนายกรัฐมนตรีที่สามารถสร้างหลักประกันได้ว่าได้รับการยอมรับจากกองทัพและฝ่ายความมั่นคง ท่ามกลางความท้าทายของยุคสมัยที่มีกลุ่มคนออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นไม่แปลกหรอกที่มีกระแสออกมาว่ารัฐบาลกำลังหาสูตรการเลือกตั้งว่าแบบไหนที่สามารถสร้างหลักประกันได้มากกว่าว่าจะเอาชนะพรรคของทักษิณได้
ขณะเดียวกันพรรคของทักษิณก็อาจจะไม่ได้น่ากลัวไปกว่าการเติบใหญ่ของพรรคของคนรุ่นใหม่อย่างพรรคก้าวไกลที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์และแสดงตัวเป็นแนวร่วมกับกลุ่มคนที่กระทำผิดและถูกดำนินคดีตามมาตรา 112 อย่างเปิดเผย
ต้องยอมรับว่า วันนี้ถ้ามองเข้าไปในรัฐบาลความสัมพันธ์ของ 3 ป.อาจจะไม่แน่นหนาเหมือนเก่า อันน่าจะมาจากการมองสถานการณ์การเมืองที่แตกต่างกัน เข้าใจว่า พล.อ.ประวิตรนั้นน่าจะมองสถานการณ์จากสายตาของส.ส.ที่กำลังหวั่นไหวกับอนาคตและกระแสแลนด์สไลด์ของทักษิณ แต่พล.อ.ประยุทธ์ยังคงเชื่อมั่นในความนิยมของตัวเองเพราะไม่ได้ยินถึงเสียงสะท้อนของสังคม และยังคิดว่าตัวเองยังเป็นนายกรัฐมนตรีที่คนส่วนใหญ่ให้การยอมรับ
การเลือกตั้งครั้งหน้าอาจจะเหลือเวลาอีกไม่นานนัก เช่นเดียวกับอนาคตของพล.อ.ประยุทธ์ ไม่ว่าพล.อ.ประยุทธ์จะหลุดรอดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวาระ 8 ปี หรือไม่ เชื่อว่าฝ่ายความมั่นคงคงอยากได้รัฐบาลที่สร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นแก่สถาบันหลักของชาติมากกว่า แต่ต้องยอมรับนะว่าสุดท้ายแล้วคนที่ตัดสินใจคือประชาชน เราคงจะสัมผัสได้ ณ เวลานี้ว่าคนในสังคมคิดอย่างไรกับรัฐบาลชุดนี้
ลองคิดดูว่าเรายังฝากความหวังไว้กับ 3 ป.ได้ในสถานการณ์ที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้าหรือไม่
ต้องยอมรับว่า ไม่มีใครที่สามารถอยู่ยั้งยืนยงในทางการเมืองได้ แต่ถ้าคิดว่าตัวเองมีภารกิจสำคัญและจำเป็นต้องดำรงอยู่เพื่อรักษาบ้านเมือง ณ เวลานี้ก็อาจจะเกือบสายแล้วถ้ายังคิดไม่ได้ว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อตั้งรับกับการเปลี่ยนแปลงที่ท้าทาย
ติดตามผู้เขียนได้ที่https://www.facebook.com/surawich.verawan