xs
xsm
sm
md
lg

การไต่เส้นลวดเพื่อฝ่าข้ามหุบเหว!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เดินทางเยือนไต้หวัน
ปิดฉากสัปดาห์นี้...ถ้าพอจะช่วยๆ ให้บรรยากาศดูผ่อนๆ คลายๆ ลงไปมั่ง คงต้องไปหยิบเอาสำนวนในนิยายกำลังภายในของจีน ประเภท “ลูกผู้ชาย...สิบปีล้างแค้นยังไม่สาย!!!” มาเกริ่นนำไว้ก่อนล่วงหน้า เพราะออกจะเป็นอะไรที่สอดคล้อง กลมกลืนกับความคิด ความเห็น ของนักข่าว-คอลัมนิสต์ชาวอเมริกันและวิทยากรการเมือง อย่าง “นายBradley Blankenship” ที่สรุปเอาไว้หลังจากการเดินทางไปเยือนไต้หวันของ “มนุษย์ป้า” อย่าง “นางแนนซี เพโลซี” (Nancy Pelosi) ประธานสภาฯ สหรัฐฯ ด้วยข้อเขียน บทความ ที่ตั้งชื่อเอาไว้ว่า “Beijing’s response to Pelosi’s Taiwan visit will likely show that revenge is a dish best served cold” อะไรประมาณนั้น...

คือจะด้วย “ความดื้อ” หรือด้วยเจตนาใดๆ ก็ตามที ของหญิงแก่รายเดียวเท่านั้นเอง แต่เผอิญมีตำแหน่งเป็นถึงประธานสภาฯ เป็นบุคคลอันดับ 3 รองจากประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีอเมริกัน แถมยังเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเดียวกันกับชายแก่ๆ อย่าง “ผู้เฒ่าโจ ซึมเซา” ผู้นำประเทศ อันทำให้มิอาจโยนบาป โยนความรับผิดชอบ สำหรับอาการ “ดื้อตาใส” หรือความมุ่งมั่นเพียรพยายาม ที่จะแอบดอด แอบเหยียบย่าง เข้าไปยังเกาะเล็กๆ ที่บรรดาชาวจีนแผ่นดินใหญ่ถือเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ ทั้งที่ประเทศตัวเองเคยป่าวประกาศให้ความยอมรับต่อ “นโยบายจีนเดียว” มาตั้งแต่ปีมะโว้ไปให้กับใครได้เลย อีกทั้งเมื่อรัฐบาลไต้หวันแห่งพรรค “DPP” (Democratic Progressive Party) ของ “นางไช่ อิงเหวิน” (Tsai Ing-wen) ดันออกอาการกระดี้กระด้า อ้าขาผวาปีก เปิดไฟต้อนรับการเดินทางมาเยือนครั้งนี้อย่างไม่คิดจะปฏิเสธ หรือคิดยืดเวลาออกไป แม้อาจกลายเป็นการ “ชักศึกเข้าบ้าน” หรืออาจทำให้ไต้หวันต้องกลายเป็น “ยูเครน 2” เมื่อไหร่ก็ย่อมได้ เรียกว่าออกอาการแบบผู้ที่พร้อมจะ “แยกดินแดน” พร้อม “ประกาศเอกราช” จาก “ความเป็นจีนเดียว” ตามความรู้สึก ตามทัศนะของจีนแผ่นดินใหญ่ รายการ “ยั่วยวนกวนส้นตีน” คราวนี้ จึงเป็นไปอย่างเป็นระบบและกิจการ จนใครต่อใครไม่ว่าในบ้านเราหรือโลกทั้งโลก ต่างต้องจับจ้อง มองเขม้น ต้องตามล่า ตามลุ้น กันชนิดนาทีต่อนาที ต้องคอยตรวจ คอยเช็ก ว่าเครื่องบินของ “มนุษย์ป้า” จะแตะรันเวย์สนามบินไต้หวันเมื่อไหร่? ตอนไหน? เล่นเอา “เคียดเด้อ” กันไปเป็นแผงๆ...

อีกทั้งเมื่อเรือบรรทุกเครื่องบิน 2 ลำของจีน คือเรือ “Liaoning” และ “Shandong” ถึงกับต้องถอนสมอออกจากอู่ ต้องแล่นไปเผชิญหน้าเรือบรรทุกเครื่องบิน “USS Ronald Regan” และเรือ “USS Tripoli” ของสหรัฐฯ ฯลฯ ที่อุตส่าห์ฝ่าคลื่น ฝ่าลม ผลุบๆ โผล่ๆ เข้ามาในน่านน้ำช่องแคบไต้หวัน จะเพื่อคอยปกป้อง คุ้มครอง “มนุษย์ป้า” หรือเพื่อการลาดตระเวนโดยปกติก็แล้วแต่โดยสีสันบรรยากาศ ของการ “ยั่วยวนกวนส้นตีน” หรือของฉากเหตุการณ์เช่นนี้ จึงเล่นเอาใครต่อใคร “ขนหัวลุก” ไปตามๆ กัน โดยเฉพาะเมื่อเกิด “คำถาม” ขึ้นมาว่า สิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่การโดดถีบ หรือการสาวหมัด-เท้า-เข่า-ศอก ใส่กันและกันหรือไม่? เพียงใด? เนื่องจากก่อนหน้านี้...ฝ่ายจีนเขาออกมาขู่แล้ว-ขู่เล่า ไม่ว่าตั้งแต่ผู้นำประเทศ ประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ที่ได้ออกปากเตือนชายชราอย่าง “ผู้เฒ่าโจ ซึมเซา” ว่าอย่าคิด “เล่นกับไฟ” ไปจนรัฐมนตรีกลาโหม รัฐมนตรีต่างประเทศ ยันโฆษกรัฐบาล ฯลฯ แต่เมื่อเจอกับความ “ดื้อตาใส” ของ “นางแนนซี เพโลซี” เข้าแบบจะจะ จังๆ อะไรมันจะเกิดขึ้นต่อไป? หรือนับจากนี้จะทำยังไงกันต่อไป? จึงกลายเป็นที่สนอกสนใจของผู้คนทั่วทั้งโลก รวมทั้งบรรดานักวิเคราะห์ นักวิแคระบ้านเรา ชนิดต้องตาม “อัปเดต” กันแบบนาทีต่อนาที ดังที่กล่าวเอาไว้แล้ว...

เรียกว่า...พอๆ กับ “เสือล้างสิงห์-เจอลิงล้างก้น” อะไรประมาณนั้น ส่วนจะเสิร์ฟความแค้นหลังทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มเย็นๆ ลงไปมั่งแล้ว หรืออีก 5 ปี 10 ปีค่อยล้างแค้นก็ยังไม่น่าจะสายเกินไป อันนี้นี่แหละ...ที่ใครต่อใครต่างให้ความสนใจและคาดเดากันไปต่างๆ นานา แม้ว่าการปิดน่านฟ้าไต้หวันด้านมณฑลฝูเจี้ยน การบอยคอตสินค้าส่งออกไต้หวันกว่า 100 บริษัท การล้ำเส้น “Median Line” บริเวณน่านน้ำไต้หวัน เส้น “ADIZ” (Air Defense Identification Zone) บริเวณน่านฟ้าไต้หวัน โดยเรือรบ เครื่องบินรบของกองทัพจีน ไปจนการซ้อมรบรอบเกาะไต้หวันแทบทุกด้านฯลฯ ถึงกับทำให้กระทรวงกลาโหมไต้หวันต้องออกมาโวยวาย ต้องปลุกปลอบใจชาวไต้หวันอย่างเป็นทางการ แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ “สาระสำคัญ” ของรายการเผชิญหน้าระหว่าง “มหาอำนาจสูงสุด” อเมริกากับ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างจีน ที่คงต้องมีอะไรต่อมิอะไรหลังจากนั้นอีกไม่รู้กี่ช็อต กี่ฉาก อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้...

หรืออย่างที่ศาสตราจารย์ “Martin Jacques” สมาชิกอาวุโสสถาบัน “The Department of Politics and International Studies” แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ได้สรุปเอาไว้นั่นแหละว่า... “เรากำลังเข้าสู่ยุคแห่งความไร้ระเบียบและไร้เสถียรภาพไม่ว่าโดยฝ่ายอเมริกาเองหรือโลกทั้งโลก เนื่องจากฉากเหตุการณ์เช่นนี้อาจถือเป็นตัวแทนของภัยคุกคามอันร้ายแรงต่อสันติภาพของโลก ที่เพียงแค่ช่วงเวลาไม่กี่ปีเท่านั้นเอง ภาษาแห่งสงคราม ความมุ่งหมายที่จะเป็นผู้พิชิตและความขัดแย้งกลับกลายเป็นสิ่งที่เข้ามาแทนที่ภาษาแห่งความร่วมมือและสันติภาพไปจนได้...” หรือถ้าพูดง่ายๆ แบบชาวบ้านๆ โอกาสที่สัมพันธภาพระหว่างอเมริกากับจีน จะหวนกลับคืนมาเป็นเช่นเดิม แทบเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว!!!

ด้วยเหตุเพราะการเดินทางมาเยือนไต้หวันของบุคคลอันดับ 3 ของอเมริกา อย่างมนุษย์ป้า “แนนซี เพโลซี” คราวนี้ ได้ทำให้ “ความคลุมเครือ” ในทางนโยบายหรือทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ที่มีต่อจีน (Strategic Ambiguity) กลายเป็นสิ่งที่แจ่มแจ้งชัดเจน อย่างแทบไม่ต้องเสียเวลาเลี้ยวไป-เลี้ยวมาอีกต่อไป ว่าความพยายามอาศัยไต้หวันเป็นตัว “สร้างปัญหา” ให้กับจีนทั้งในระดับภูมิภาคหรือในระดับโลก ก็คือ “เจตนาที่แท้จริง” ของอเมริกานั่นเอง สัมพันธภาพระหว่างจีนและอเมริกานับแต่นี้ต่อไป จึงเป็นอะไรที่ “ต่อไม่ติด” หรือ “ตกต่ำที่สุด” เท่าที่เคยมีมา โอกาสรื้อฟื้นทุกสิ่งทุกอย่างให้กลับคืนสู่สภาพเดิมย่อมเป็นไปได้ยากส์ส์ส์เอามากๆ เพราะมันน่าจะ “เลยจุดยูเทิร์น” ไปแล้วก็ว่าได้...

การแบ่งขั้ว แบ่งข้าง หรือ “การเผชิญหน้า” ระหว่าง “ฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายเผด็จการ” อย่างที่มนุษย์ป้า “แนนซี เพโลซี” ได้ป่าวประกาศเอาไว้ในการเดินทางเยือนไต้หวันคราวนี้ จึงอาจถือเป็น “ตัวแทนแห่งภัยคุกคามอันร้ายแรงต่อสันติภาพของโลก” อย่างที่ศาสตราจารย์ “Martin Jacques” ว่าเอาไว้จริงๆ นั่นแล และย่อมต้องส่งผลต่อบรรดาประเทศเล็ก ประเทศน้อยไม่ต่างไปจาก “เมื่อช้างสารชนกัน...หญ้าแพรกย่อมแหลกราญ” ไม่ว่าทางหนึ่งก็ทางใด แม้แต่ประเทศไทยแลนด์ แดนสยามของหมู่เฮาก็เถอะ แค่ฟังจาก “แถลงการณ์” ของสถานทูตจีนประจำประเทศไทย ที่พยายามเน้นเอาไว้แบบเน้นๆ เนื้อๆ ด้วยถ้อยคำที่ว่า “ฝ่ายจีนเชื่อว่า...ประเทศไทยในฐานะที่เป็นมิตรประเทศของจีน จะยึดมั่นในความเที่ยงธรรมและความเป็นธรรมตามหลักสากล สนับสนุนความพยายามของจีน ในการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน สนับสนุนภารกิจอันยิ่งใหญ่ในการรวมประเทศจีนเป็นหนึ่งเดียว ร่วมกับฝ่ายจีนในการพิทักษ์รักษาสันติภาพ และเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวันและของภูมิภาค” อันนี้ต้องเรียกว่า...แม้จะมีขีดความสามารถแห่งการ “ลื่นไถล” ระดับที่ถูกเรียกขานกันในนาม “สยามไมซ์เซชั่น” แบบประเภท “ญี่ปุ่นแพ้...แต่ไทยไม่แพ้” อย่างเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่มาคราวนี้...โอกาสพล็อบๆ แพล็บๆ แบบก่อนๆ น่าจะลำบากยิ่งเข้าไปทุกที...

เพราะภายใต้สีสันบรรยากาศทำนองนี้ มันแทบไม่เหลือ “พื้นที่เป็นกลาง” ใดๆ เอาไว้เลยก็ว่าได้ ไม่ใช่แต่เฉพาะศัตรูคู่กัดของอเมริกาอย่างรัสเซีย อิหร่าน เกาหลีเหนือฯลฯ แต่เพียงเท่านั้น ขนาดบ้านใกล้-เรือนเคียงอย่างคุณน้องลาว ยังหนีไม่พ้นต้องฟันธง-ฟันเฟิร์มเอียงออกไปทางจีนๆ อย่างเห็นได้โดยชัดเจน การประคับประคองตัวเองเพื่อไม่ให้ต้องเอียงไปทางด้านหนึ่ง-ด้านใด จึงแทบไม่ต่างไปจาก “การไต่เส้นลวดเพื่อฝ่าข้ามหุบเหว” อะไรประมาณนั้น...


กำลังโหลดความคิดเห็น