นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาคองเกรส ผู้ทรงอิทธิพลในการเมืองของสหรัฐฯ ได้ตัดสินใจไม่รวมไต้หวันอยู่ในแผนการเดินทางเยือนตะวันออกไกล และกลุ่มประเทศอาเซียนหลังจากคำเตือนอย่างจริงจังจากผู้นำจีน
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้กล่าวเตือนประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในช่วงการสนทนาทางโทรศัพท์นาน 2 ชั่วโมง 17 นาทีวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า “ อย่าเล่นกับไฟ ระวังไฟจะไหม้มือ”
นั่นเป็นคำเตือนสำหรับนางเพโลซี และโจ ไบเดนว่าสหรัฐฯ ไม่ควรจะมีพฤติกรรมยั่วยุในการที่ผู้นำรัฐสภาจะไปเยือนจีนไต้หวัน ซึ่งจะถือว่าเป็นการละเมิดข้อตกลงทั้งที่สหรัฐฯ ก็รับรองว่าจีนมีเพียงแค่จีนเดียวและไต้หวันเป็นจังหวัดหนึ่งของจีนเท่านั้น
ช่วงแรกนางเพโลซีแสดงความกล้าหาญยืนยันว่าจะไปไต้หวันให้ได้ เธอแสดงความไม่หวาดหวั่นกับแสนยานุภาพน้องจีน อยากประกาศให้โลกรู้สหรัฐฯสนับสนุนความมั่นคงของไต้หวันและจะใช้ความพยายามทุกทางที่จะให้ไต้หวันดำรงความเป็นรัฐเอกราชและประชาธิปไตยให้ได้
นี่เป็นความเฮ้าเลี่ยนหรืออาการหิวแสงอย่างแรงของนักการเมืองรุ่นเก๋าวัย 82 ปีของนางเพโลซี ซึ่งอยากจะแสดงว่านางก็มีบทบาทเหมือนกันในวงการเมืองระหว่างประเทศ ที่สำคัญนี่อาจจะเป็นสมัยสุดท้ายและความรุ่งโรจน์ทางการเมืองของนางก็ได้
ด้วยเหตุนี้นางเพโลซี จึงมีโปรแกรมเยือนเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และมาเลเซียโดยไม่มีการเอ่ยชื่อไต้หวัน วันอาทิตย์ที่ผ่านมาเธอเริ่มเดินทางจากแผ่นดินใหญ่ไปแวะรัฐฮาวายเพื่อไปเยือนอนุสาวรีย์สงครามโลกครั้งที่สองที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ และเรือรบแอริโซนา ที่เป็นเป้าหมายของการโจมตีของเครื่องบินรบญี่ปุ่น
ในแถลงการณ์ของนางเพโลซี นางบอกว่าการเยือน 4 ประเทศเป็นการตอกย้ำให้เห็นชัดเจนว่าสหรัฐฯ มีความมั่นคงกับแผนยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก เพื่อเน้นความมั่นคง ปัญหาสภาวะโลกร้อน การระบาดของโคโรนาไวรัส บรรยากาศประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ซึ่งก็เป็นคำอ้างให้การเดินทางมีเหตุผลและแสดงให้เห็นว่าเธอยังเป็นผู้มีราคาและอำนาจทางการเมืองในการขับเคลื่อนร่างกฎหมายให้ผ่านสภาฯ ได้
แต่การเดินทางของนางได้สร้างความวุ่นวายต่อการรับกับสถานการณ์โดยกองทัพเรือ กองทัพอากาศ และหน่วยสนับสนุนด้านการรบในพื้นที่เอเชียและแปซิฟิก ของสหรัฐฯ เพราะได้รับรู้คำขู่ของจีนแล้วว่าอะไรอาจจะเกิดขึ้นถ้านางยังดึงดันที่จะเดินทางไปไต้หวันและเป็นเรื่องที่จีนยอมไม่ได้เด็ดขาด
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงมีกำหนดจะเข้าสู่การเลือกตั้งรับตำแหน่งเป็นสมัยที่ 3 ระยะเวลา 5 ปีในอีกไม่นานนี้ ซึ่งถ้าเกิดภาวะการเสียหน้ากับกรณีการเยือนไต้หวันของนางเพโลซี ก็จะทำให้การเป็นผู้นำประเทศมหาอำนาจอยู่ในภาวะน่าสงสัยและมีปัญหากับศัตรูทางการเมืองที่ต้องการจะล้มผู้นำจีนได้
ถ้าการยกเลิกการยืนยันจีนก็จะพิสูจน์ให้เห็นว่าสหรัฐฯ และผู้นำทำเนียบขาวไม่กล้าเสี่ยงที่จะเผชิญหน้าด้วยกำลังทหารและเสี่ยงกับการประทะกันระหว่างทั้งสองกองทัพแล้วเท่ากับว่าโจ ไบเดนเสียหน้าเพราะนางเพโลซีวุ่น โดยที่ตัวเองก็ไม่ได้มีตำแหน่งหน้าที่บริหารประเทศ
ถ้าการเลือกตั้งกลางเทอมในเดือนพฤศจิกายนที่จะมาถึงนี้ พรรคเดโมแครตพ่ายแพ้ไม่สามารถรักษาเสียงข้างมากในสภาคองเกรสไว้ได้นางเพโลซี ก็คงต้องหลุดจากตำแหน่งและให้ตัวแทนของพรรครีพับลิกันมาเป็นแทน
นั่นเท่ากับว่าสถานการณ์ของโจ ไบเดนจะเลวร้ายเพราะโอกาสที่จะผลักดันกฎหมายผ่านรัฐสภาโดยง่ายดายเหมือนเช่นทุกวันนี้ก็จะเป็นไปได้ยาก ยิ่งถ้าพ่ายแพ้ในศึกเลือกตั้งของวุฒิสมาชิกด้วยแล้วเท่ากับว่าเสียงข้างมากทั้งคองเกรสและวุฒิสภาก็จะสิ้นสุดลง
โจ ไบเดนก็จะยิ่งมีปัญหาหนักเพราะความนิยมของตัวเองทุกวันนี้ในการทำโพลแต่ละครั้งอยู่ระดับสูงกว่า 30% ก็มีและต่ำกว่า 30% ก็มีขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้ทำโพล ก็บอกได้ว่าเป็นประธานาธิบดีที่มีความนิยมตกต่ำที่สุดสำหรับผู้ที่ดำรงตำแหน่งได้ยังไม่ถึงสองปี
และเริ่มมีเสียงจากพรรคเดโมแครตแล้วว่าโจ ไบเดน ไม่สมควรลงชิงเก้าอี้เลือกตั้งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่สองในปี 2024 เพราะดูแล้วไม่น่าจะชนะ ความนิยมของโดนัลด์ ทรัมป์ก็ยังเหนือกว่าอยู่ที่ระดับ 50% กว่า
เพียงแต่ว่าพรรครีพับลิกันจะเลือกใครมาเป็นคู่ชิงของโดนัลด์ ทรัมป์เท่านั้น และการเมืองอเมริกันย่อมต้องมีคู่แข่งโดยไม่ปล่อยให้ใครชนะได้โดยไม่ผ่านศึกหนัก
ฉะนั้นจึงเป็นเดิมพันหนักสำหรับผู้นำจีนและสหรัฐฯ ซึ่งต้องเผชิญความท้าทายทางการเมือง ครั้งนี้ถ้าแผนการเยือนไต้หวันของผู้นำสภาคองเกรสล้มเหลว ถือว่าเป็นชัยชนะของจีนในเกมต่อรองทางการทูตและการประลองแสนยานุภาพและความพร้อมในการทำสงคราม จีนต้องเฝ้ามองการเดินทางของนางทุกระยะเช่นกัน
ต้องรอดูว่าการเยือน 4 ประเทศของนางเพโลซี จะได้เนื้อหาสาระอะไรบ้างและช่วยเหลือความนิยมของโจ ไบเดนและพรรคเดโมแครตที่จะต้องพิสูจน์ความนิยมในการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายนนี้หรือไม่
และจะเป็นการวัดดวงว่านางเพโลซีผู้หิวแสงจะรักษาเก้าอี้ผู้นำประธานสภาผู้แทนของเธอได้หรือไม่ หรือเธออาจตัดสินใจแอบบินไปไต้หวันเงียบ ตามแผนลับลวงพรางก็ได้ ถ้าเธอกล้า และเสี่ยงนำสหรัฐฯ ให้เผชิญวิกฤตกับจีนถึงขั้นเกิดสงครามใหญ่