เห็นภาพชาวศรีลังกานับเป็นแสนๆ บุกตะลุยกรูเข้าไปในทำเนียบประธานาธิบดี ก่อนไปนอนแอ้งแม้งถ่ายรูปอยู่บนเตียงนอนอันแสนหะรูหะราของผู้นำประเทศ ไม่ก็หันไปโดดสระว่ายน้ำ ฯลฯ หรือต่างแสดงออกให้เห็นถึง “อารมณ์-ความรู้สึก” แห่งความพลุ่งพล่าน ความโกรธเกลียด เคียดแค้น อาฆาตพยาบาท ริษยา และชิงชัง ขณะที่ตัวประธานาธิบดี “Gotabaya Rajapaksa” ไม่เพียงแต่เผ่นออกจากทำเนียบแทบไม่ทัน ยังต้องตัดสินใจลาออก ไม่ต่างไปจากตัวนายกรัฐมนตรี “Ranil Wickremesinghe” แล้ว คงต้องยอมรับว่า...ออกจะเป็นอะไรที่ “หนาวว์ว์ว์ยะเยือก” เอาเรื่องทีเดียว...
คืออย่างที่พอทราบๆ กันไปแล้วนั่นแหละทั่น!!! ว่าเป็นเพราะ “ภาวะเงินเฟ้อ” ราคาข้าว-ของต่างๆ ไม่ว่าพลังงาน อาหาร และยา ฯลฯ หรือแทบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เพียงแต่ขึ้นเอาๆ ยังแถมขาดแคลนหายาก-หาเย็นยิ่งกว่าหาหนวดเต่า-เขากระต่ายเอาเลยถึงขั้นนั้น จนทำให้ประเทศที่เบี้ยน้อย-หอยน้อย หรือประเทศที่อยู่ในระดับ “กำลังพัฒนา” อย่างศรีลังกาถึงขั้นต้องประกาศภาวะ “ล้มละลาย” ต้องผิดชำระหนี้ต่างประเทศ อันนำมาสู่ความสับสนวุ่นวาย ความระส่ำระสาย เกิดการ “จลาจล” ชนิดผู้นำประเทศที่เคยครองอำนาจมานานแสนนาน ยัง “เอาไม่อยู่” ต้องหนียะย่าย พ่ายจะแจ หมดรูป หมดสภาพ อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้...
ส่วนรากฐาน ที่มา-ที่ไปของภาวะดังกล่าว...มันจะมีสาเหตุ เหตุปัจจัยมาจากอะไรกันบ้างนั้น ก็คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ “ผู้เชี่ยวชาญ” ประเภทนักวิเคราะห์ด้านประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และรัฐศาสตร์ ฯลฯ ทั้งหลาย เขาไปสืบสาวราวเรื่องกันเอาเอง แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญบางราย ดังเช่น “ประธานสมาคมเสือกกิตติมศักดิ์” อย่างคุณพ่ออเมริกา ท่านจะพยายามออกมาโยนขี้ โยนบาป ให้กับ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างจีนและรัสเซีย เช่นหาว่าเป็นเพราะ “กับดักหนี้ของจีน” ที่ปล่อยกู้ให้กับโครงการสาธารณูปโภคศรีลังกา ตามแนวทาง “Belt and Road” นั่นแหละเป็นสาเหตุหลัก เลยทำให้ศรีลังกาไม่เหลือเงินไว้ใช้หนี้ แม้ว่าปริมาณหนี้สินของจีนจะมีเพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ในบรรดาหนี้ทั้งมวลของศรีลังกาแต่เพียงเท่านั้น หรือไม่ก็หันไปโทษว่าเป็นเพราะการ “บุกยูเครนของรัสเซีย” เลยทำให้ประเทศเล็กๆ ประเทศนี้ ไม่อาจหาซื้อสินค้าต่างๆ ไม่ว่าน้ำมัน ข้าว ปุ๋ย ฯลฯ หรืออะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ จนนำมาซึ่ง “ปัญหา” ระดับ “เอาไม่อยู่” อย่างที่เห็นๆ กันอยู่...
โดยที่การ “เอาดีใส่ตัว-เอาชั่วใส่คนอื่น” ตามวาสนาและสันดานดั้งเดิมของคุณพ่ออเมริกานั้น แทบไม่ได้คิดหันไปสำรวจตรวจสอบตัวเองเอาไว้มั่งเลย ว่าการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางอเมริกา รวมทั้งบรรดาประเทศพันธมิตรยุโรปทั้งหลาย เพื่อสู้กับ “ภาวะเงินเฟ้อ” แบบครั้งแล้ว-ครั้งเล่าในช่วงระหว่างนี้ ได้กลายเป็นตัวเพิ่มพูนปริมาณหนี้สิน ให้กับประเทศกำลังพัฒนาอย่างศรีลังกาไปถึงขั้นไหนต่อขั้นไหน การ “ผิดนัดชำระหนี้ต่างประเทศ” จนถึงขั้นต้อง “ล้มละลาย” เลยคงไม่ได้มีแต่เฉพาะประเทศศรีลังกาประเทศเดียว หรือถ้าว่ากันตามคำพูด คำจา คำให้สัมภาษณ์ของหัวหน้าทีมเศรษฐกิจธนาคารโลก “นายCarmen Reinhart” เมื่อช่วงวันเสาร์ (9 ก.ค.) ที่ผ่านมา โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์คล้ายๆ กับศรีลังกา หรือเกิดการ “ผิดนัดชำระหนี้ต่างประเทศ” จนนำไปสู่ความสับสนวุ่นวาย การจลาจลภายในประเทศที่เบี้ยน้อย-หอยน้อย หรือ “ประเทศกำลังพัฒนา” ทั้งหลาย ได้กลายเป็น “ข้อเท็จจริง” ที่กำลังอุบัติตามมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ “ข้อสมมติฐาน” อีกต่อไปแล้ว...
ไม่ว่าจะเป็นประเทศในละตินอเมริกาอย่าง เอล ซัลวาดอร์ ประเทศในแอฟริกาอย่างกานา อียิปต์ ตูนีเซีย หรือประเทศในเอเชียอย่างปากีสถาน ฯลฯ ที่ต่างเจอกับ “วิกฤตหนี้สิน” ไปด้วยกันทั้งสิ้น หรือกำลังเข้าคิวรอการ “ผิดนัดชำระหนี้” ไปเป็นประเทศๆ ไม่น้อยไปกว่า 19 ประเทศ อันอาจนำมาซึ่งการจลาจล ความสับสนวุ่นวาย ในลักษณะไม่ต่างอะไรไปจากการแพร่ระบาดของเชื้อโรค หรือต่างออกอาการแบบที่เรียกว่า “Domino Effect” ชนิดอาจพังไปเป็นแถบๆ ในแต่ละซีกโลก เกิดความสับสน วุ่นวาย ระส่ำระสาย เกิด “ความเปลี่ยนแปลง” แบบเดียวกับที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศศรีลังกานั่นเอง ด้วยเหตุเพราะกระแสความเป็นไปของโลกในช่วงนี้ ต่างถูกปกคลุมไปด้วย “สัญญาณแห่งความมืดมน” ดังที่ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ “IMF” อย่าง “นางKristalina Georgieva” เธอได้ออกมาสรุปไว้เมื่อวันพุธ (6 ก.ค.) ที่ผ่านมานั่นเอง ประมาณว่า “เรากำลังอยู่กระแสแห่งความปั่นป่วนทางการเงิน” ชนิดที่ไม่ว่ารัฐบาลใดๆ ก็แล้วแต่ ยากซ์ซ์ซ์ที่จะควบคุมได้ โดยเฉพาะเมื่อแต่ละรายหนีไม่พ้นต้องเจอภาวะเงินเฟ้อ การเพิ่มดอกเบี้ยนโยบายแบบหวือๆ หวาๆ ของธนาคารกลางแต่ละประเทศ รวมทั้งอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้าลงของมหาอำนาจเศรษฐกิจอย่างจีน ไปจนการแซงชั่นสุดโหดมหาโหด ต่อประเทศหมีขาวรัสเซีย ชนิดกะจะให้ตายคาตีนให้จงได้ ฯลฯ...
ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือว่า...ท่ามกลางความมืดมนของเศรษฐกิจโลก ที่ทำท่าว่าอาจตกต่ำ ถดถอยกันในระยะยาว ตามความคิด ความเห็น ของผู้เชี่ยวชาญหลายต่อหลายราย คือไม่เพียงต้องเจอกับภาวะชะงักงันของการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ “Stagnation” เท่านั้น แต่ยังบวกเข้ากับภาวะ “เงินเฟ้อ” หรือ “Inflation” จนกลายสภาพไปเป็น “Stagflation” ไปแล้วในขณะนี้ แต่นั่นกลับแทบไม่ได้ก่อให้เกิด “ความร่วมมือ-ร่วมใจ” ในการคิดแก้ไข แก้ปัญหา คิดทุเลาเบาบางความทุกข์ ความเดือดร้อน ความสับสนวุ่นวาย ที่มันกำลังแผ่ซ่าน แผ่ขยาย ออกไปทั่วทั้งโลก ตรงกันข้าม...กลับยิ่งก่อให้เกิดแรงกระตุ้น แรงจูงใจ ในอันที่ฉวยโอกาส ฉวยประโยชน์ จาก “วิกฤต” ในแต่ละซีกโลก เพื่อนำไปสู่ความได้เปรียบ-เสียเปรียบทาง “ภูมิรัฐศาสตร์” ระหว่างประเทศใหญ่ๆ รวยๆ หรือบรรดาประเทศ “อภิมหาอำนาจ” ทั้งหลาย ที่กำลังไล่บด ไล่บี้ ระหว่างกันและกัน ไม่ต่างไปจาก “ช้างสารชนกัน” อันยิ่งเท่ากับเป็นตัวซ้ำเติมให้บรรดาประเทศเล็กๆ จนๆ หรือประเทศ “กำลังพัฒนา” ในแต่ละราย ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างไปจาก “หญ้าแพรก” ใต้ฝ่าตีนของช้างนั่นแหละท่านเอ๋ย...
อันนี้นี่แหละ...ที่มันอาจทำให้ “ความฉิบหาย” ยิ่งมีแต่จะลุกลามบานปลาย หรือยิ่งแก้ยาก แก้เย็น ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น เพราะ “ผลกระทบ” ที่กำลังเกิดขึ้นกับประเทศเล็กๆจนๆ หรือประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย สุดท้ายแล้ว...ย่อมส่งผลบวกกลับไปสู่บรรดาประเทศรวยๆ หรือประเทศพัฒนาแล้วอย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ การผิดนัดชำระหนี้ของประเทศเล็กๆ อย่างศรีลังกา หรือปากีสถาน จะส่งผลต่อประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจอย่างจีน ที่ปล่อยกู้ในโครงการ “BRI” ไปแล้วไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ไปถึงขั้นไหนต่อขั้นไหน ก็ยังมิอาจสรุปได้ชัดเจน ความพยายามฉวยโอกาสแทรกแซงทางการเมือง บีบบังคับ ให้ประเทศเล็กประเทศน้อย ต้องเลือกข้าง ย้ายข้าง ของคุณพ่ออเมริกาและโลกตะวันตก เพื่อเล่นงานมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนและรัสเซีย ที่ทำให้ “ความเปลี่ยนแปลง” ทางการเมืองในแต่ละประเทศ สลับซับซ้อนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนอาจนำไปสู่การ “ก่อการร้าย” หรือก่อให้เกิดอาการ “สุดโต่ง” ในด้านใด ด้านหนึ่ง สิ่งเหล่านี้...ล้วนแล้วแต่จะนำมาซึ่ง “ปัญหาระยะยาว” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งปวง...
ภาพเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศศรีลังกา...จึงไม่ต่างอะไรไปจาก “หนังตัวอย่าง” ที่บรรดาประเทศเล็ก ประเทศน้อยทั้งหลาย คงต้องหยิบมาใช้เป็นอุทาหรณ์ เป็นข้อคิด สะกิดใจ เอาไว้ให้จงหนัก โดยเฉพาะเมื่อ “กระแสความเปลี่ยนแปลง” ของโลก ณ ขณะนี้ มันกำลังเป็นไปในแบบ “Domino Effect” หรือจากจุดหนึ่งสามารถลุกลามไปยังอีกจุดๆ หนึ่งได้เสมอๆ จนถึงขั้นอาจต้องพังพินาศกันไปแบบทั้งแผง ทั้งยวง ดังนั้น...อย่าถึงกับไปมั่นอก มั่นใจมากมายเกินไปนัก ว่าสามารถ “เอาอยู่” กันได้ง่ายๆ แม้แต่ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาก็เถอะ ถึงพื้นฐานทางเศรษฐกิจมั่นคงขนาดไหน ในน้ำมีปลา-ในนามีข้าว มีแหล่งท่องเที่ยวที่ใครต่อใครปรารถนาจะพบและสัมผัสเสียเหลือเกิน ฯลฯ แต่ถ้าหาก “การเมือง” มันยังไม่คิดจะไปไหน ยังวนไป-วนมาอยู่ที่เดิม แบบเดิมๆ มานับเป็นศตวรรษๆ โอกาสที่จะต้อง “หนาวว์ว์ว์ยะเยือก” แบบเดียวกับภาพเหตุการณ์ที่เห็นๆ ในศรีลังกา ก็ใช่ว่า...จะเป็นไปไม่ได้เอาเลย!!!