"โสภณ องค์การณ์"
จบไปแล้วสำหรับศึกละเลงน้ำลายในสภาผู้แทนที่เถียงกันมาหลายวันว่าจะเอาผู้แทนแบบ 500 หรือจะเอาผู้แทนแบบ 100 ในสูตรหารปาร์ตี้ลิสต์ ซึ่งเป็นเรื่องผลประโยชน์ของบรรดานักเลือกตั้งทั้งนั้น ประชาชนไม่ได้มีส่วนได้อะไรมีแต่ส่วนเสีย
เห็นได้อีกครั้ง และเป็นการตอกย้ำความเชื่อที่ว่าการเมืองน้ำเน่าแบบไทยๆ เป็นสภาวะของการไร้จิตสำนึกความรับผิดชอบ ไร้คุณธรรมและจริยธรรม มุ่งหวังแต่ผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม ไม่แยแสต่อสายตาของประชาชนซึ่งมองพฤติกรรมของนักเลือกตั้งทั้งหลายว่าน่ารังเกียจแค่ไหน
ไม่มีเกียรติภูมิ ความสง่างามหรือความน่าเชื่อถือ ไม่ว่าจะเป็นผู้แทนจากการเลือกตั้งแบบไหนก็จะเป็นเพื่อผลประโยชน์ แสวงหาอำนาจตอบสนองซึ่งกันและกัน
ครั้งนี้เห็นชัดที่สุด ตั้งแต่แรกเริ่มนั้นเหมือนมีข้อตกลงกันว่าจะเอาแบบผู้แทน 100 เปลี่ยนจากระบบ 500 ที่ใช้กันมาในครั้งก่อนทำให้พรรคของคนเร่ร่อนอยู่นอกประเทศไม่ได้เสียงมากพอจัดตั้งรัฐบาลได้ทั้งยังมีเกมแฝงเร้นเล่นงานจนเสียขบวน
เกือบจะครบแปดปีของผู้นำรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารไม่เคยทดสอบความนิยมของประชาชนจากการเลือกตั้ง ประเด็นจะเอาผู้แทนแบบไหน ก็มาถกเถียงกันอีกเสร็จแล้วก็มีนักเลือกตั้งปัดเศษมาหักดิบแซงโค้งสุดท้ายส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ชวนให้สงสัยว่ามีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ว่าควรจะยังคงระบบ 500 อย่างเดิม
จากนั้นท่านผู้นำห้าวเป้งซึ่งความนิยมตกต่ำต่อเนื่องได้นำเรื่องนี้ไปพูดเปรยกลับบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลว่าตัวเองเห็นด้วยว่าคงจะเอาระบบ 500 อย่างเดิมซึ่งเป็นแนวขัดแย้งกับพี่ใหญ่ที่หนุนระบบ 100
ชาวบ้านที่ติดตามงานรัฐสภาจึงเห็นนักเลือกตั้งแลกเปลี่ยนความเห็นอ้างหลักการนั่นนี่โน่นแต่มีเจตนาแฝงเร้นไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งระบบ 500 หรือ 100 ก็ตามแต่พวกนี้ไม่บอกตรงๆ กับประชาชนว่าการได้เสียแท้จริงนั้นเป็นอย่างไร
ที่ผ่านมาการเลือกตั้งมีการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบมาตลอด โดยลอกมาจากหลายประเทศและมาปรับเป็นการใช้ในประเทศไทยซึ่งผลที่ตามมาคือความพิกลพิการไม่ลงตัว ไม่ว่าจะต้องทำอะไรจำเป็นต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ
การอภิปรายในสภาของแต่ละคนเป็นอย่างที่ว่าอ้าปากก็เห็นลิ้นไก่โดยเฉพาะนักประท้วงเพื่อความอยากได้หน้าหรือหิวแสงก็เป็นปูทางเพื่อผลประโยชน์ในอนาคตทั้งนั้น
นักเลือกตั้งบางกลุ่มยังสวมรอยเป็นผู้อาสากำจัดคราบสกปรกบนทอปบูตของนักรัฐประหาร พรรคการเมืองที่มีผลประโยชน์ร่วมมาโดยตลอดจึงเปลี่ยนใจเห็นดีเห็นงามตามท่านผู้นำว่าจะเอาระบบ 500 เหมือนเดิม เป็นการถอยหลังเข้าคลองและก็ไม่น่าประหลาดใจเพราะการเมืองแบบไทยๆ เน้นการหาผลประโยชน์เป็นหลัก
การที่ท่านผู้นำห้าวเป้งเข้ามาแสดงความเห็นเรื่องนี้ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และเป็นฝ่ายบริหารแต่สามารถแสดงอำนาจข้ามแดนไปกำหนดบทบาทของสภาทำให้ตอกย้ำว่าเป็นสภาตรายาง จึงไม่สามารถมองเป็นอย่างอื่นได้นอกจากว่าท่านผู้นำยังคงเสพติดอำนาจงอมแงมและอยากอยู่ต่ออีกสี่ปีโดยเชื่อมั่นว่าจะไม่มีปัญหากับศาลรัฐธรรมนูญ
ยิ่งเห็นชัดว่าท่านผู้นำนอกจากไม่อยากลงจากอำนาจแล้วยังหวาดผวาที่จะโดนเช็กบิลแบบยกก๊วน 3 ลุงผู้อยู่ในเกม ปีนเกลียวอำนาจ ถ้าพรรคการเมืองของคนเร่ร่อนประเทศได้เสียงข้างมากอย่างที่ว่าเป็นเเลนด์สไลด์และสามารถตั้งรัฐบาลได้
สภาวะเช่นนั้นย่อมน่าหวาดเสียวอย่างมากสำหรับขบวนการวัวสันหลังหวะที่ได้สะสมความมั่งคั่งจากทรัพย์สินแผ่นดินและปัจจัยเกื้อหนุนจากบรรดาพ่อค้านายทุนอภิมหาเศรษฐีทั้งหลายซึ่งกอบโกยผลประโยชน์แลกกับเศษเงินให้ผู้มีอำนาจ และได้เกิดเสียงร่ำลือกรณีการทุจริตคอร์รัปชั่นรวมทั้งความมั่งคั่งที่ซุกไว้ต่างประเทศ
ดังนั้นไม่ว่าตัวเองจะอยู่ในอำนาจต่อไปหรือไม่ การเตะตัดขาฝ่ายตรงข้ามไม่ให้ได้เข้ามากุมอำนาจรัฐจึงเป็นสิ่งที่ต้องกระทำแม้จะถูกมองว่าเป็นการใช้อำนาจกดดันกิจกรรมของฝ่ายนิติบัญญัติก็ตาม
นักเลือกตั้งที่รับบทเป็นผู้กำจัดคราบสกปรกบนทอปบูตนักรัฐประหาร คงดีใจว่าจะได้รับการตอบแทนไม่ว่าจะเป็นปัจจัยเกื้อหนุนสำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไปหรือมีตำแหน่งสำคัญกว่าที่ดำรงอยู่ ซึ่งสามารถเพิ่มความมั่งคั่งให้ตัวเองและพวกพ้องอย่างที่ถูกเรียกว่าเป็น “นักล่างานเลี้ยง” หรือพวก “เสพติดกล้วย”
ประชาชนที่ติดตามสนใจข่าวเหตุการณ์บ้านเมืองคงได้มองด้วยความสมเพชว่านักเลือกตั้งที่มากราบไหว้ขอคะแนนเสียงช่วงก่อนวันกาเบอร์ในคูหาเลือกตั้งนั้นยังไม่สำนึกในหน้าที่ของตนเองและยังแสดงความขี้เกียจไม่เข้าประชุมสภาโดยล่าสุดได้เห็นสภาล่มอีกรอบ และทำกันได้อย่างไม่อายฟ้าดิน
ประชาชนยังคงจมอยู่ในกองทุกข์ต่อไปเพราะนักเลือกตั้งและกลุ่มผลประโยชน์รวมทั้งผู้มีอำนาจต่างแย่งชิงการได้เปรียบในเกมการเมืองขณะที่ไร้ทางออกในการแก้ปัญหาราคาน้ำมันแพง อัตราเงินเฟ้อสูง ค่าครองชีพสูง ไม่คำนึงถึงคนรายได้น้อย
ประชาชนซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มทาสหนี้ครัวเรือน หนี้นอกระบบ และพวกที่มีรายได้ชักหน้าไม่ถึงหลังมองไม่เห็นอนาคตว่าจะดีขึ้นอย่างไรคงจะรู้สึกสิ้นหวังเพราะเห็นอยู่ชัดแล้วว่าไม่ว่าผู้นำประเทศจะมาจากการเลือกตั้งหรือรัฐประหารก็ไม่ต่างกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ประเทศไทยคงอยู่ในสภาพวังเวง ไม่เห็นความหวังว่าจะมีผู้มีฝีมือเข้ามาบริหารนำพาประเทศให้ผลจากวิกฤตซับซ้อนอย่างในปัจจุบัน จากนี้ไปจะยิ่งมองเห็นเกมชิงอำนาจเข้มข้นขึ้นกว่าเดิมและทำกันอย่างไม่อายเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจและผลประโยชน์จากทรัพย์สินแผ่นดิน
เมืองไทยนี้ดีพร้อม เพียงแต่มีผู้นำที่ใช้ไม่ได้ในแต่ละยุคเท่านั้น