ปิดท้ายสัปดาห์นี้...คงหนีไม่พ้นต้องหันไปมอง “แนวรบยุโรปตะวันออก” กันอีกนั่นแหละทั่น!!! เพราะการไล่บด ไล่บี้ ระหว่างหมีขาวรัสเซียกับชาวสลาฟด้วยกันเองอย่างบรรดาชาวยูเครนทุกวันนี้...คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่ามันได้กลายเป็นการเผชิญหน้าโดยตรงระหว่าง “รัสเซียกับโลกตะวันตก” แบบชนิดหนักหนา-สาหัส หรือระดับที่ถูกเรียกขานกันในนาม “สงครามลูกผสมแบบเบ็ดเสร็จ” (Total, Hybrid War) อย่างที่รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย “นายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ” ท่านได้สรุปเอาไว้เมื่อไม่นานมานี้...
สิ่งที่ควรเก็บมาใคร่ครวญ หวนคิด ไว้แต่เนิ่นๆ...ก็คือการปะทะ ขัดแย้ง การเผชิญหน้าทั้งโดยตรง-โดยอ้อม ระหว่างรัสเซียกับโลกตะวันตกแบบแทบจะทั้งแผงเช่นนี้ ไม่ว่ามันจะจบลงไปแบบไหน? อย่างไร? ที่น่าคิด น่าสะกิดใจ ก็คงประมาณว่าสุดท้ายแล้ว...มันจะนำไปสู่ฉากเหตุการณ์ต่อไปในลักษณะไหน ก่อให้เกิดผลกระทบต่อโลกทั้งโลกหรือไม่? ประการใด? เพราะแม้แต่ “นักคิด” ชาวรัสเซีย อย่าง “นายDmitri Trenin” ผู้อำนวยการสถาบันคาร์เนกี มอสโก และสมาชิกสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศรัสเซีย (The Russian International Affairs Council) เขาก็ได้พยายาม “มองข้ามช็อต” ไปแล้วเช่นกัน ดังที่ได้สะท้อนข้อคิด ความเห็น ไว้ในข้อเขียน บทความชิ้นล่าสุด ชื่อว่า “Russia has made a decisive break with the West and is ready to help shave a New World Order” หรือภายใต้ฉากสถานการณ์ที่ยังไม่รู้ว่ายังต้องไล่บด ไล่บี้ กับโลกตะวันตกไปถึงขั้นไหนต่อขั้นไหน แต่รัสเซียก็พร้อมแล้ว...ที่จะช่วยปรับเปลี่ยนระเบียบโลกขึ้นมาใหม่!!!
คือจากที่เคยเป็น “ฝรั่ง” มาโดยตลอด...แม้เคยถูกอดีตนักเรียนรัสเซียบ้านเราเรียกว่า “ฝรั่งช้า” หรือฝรั่งที่ไม่ค่อยกระตือรือร้นเหมือนบรรดาฝรั่งโดยทั่วไป แต่ความเป็นฝรั่งของรัสเซียก็ค่อนข้างฝังลึกอยู่ในสายเลือดและจิตวิญญาณอยู่พอประมาณ ยิ่งโดยเฉพาะนับแต่ยุค “พระเจ้าปีเตอร์มหาราช” โน่นเลย ที่ประเทศรัสเซียได้เปิดรับ ได้หยิบยืมแบบแผนต่างๆ จากตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นแนวคิด ค่านิยม ไปจนถึงสถาบันทางสังคมในแต่ละรูปแบบ แม้แต่ “ลัทธิมาร์กซ์” ก็เถอะ ฯลฯ หรืออย่างที่ “นายDmitri Trenin” เขาได้จาระไนเอาไว้นั่นแหละว่า ไม่ว่าจะเป็นศาสนาคริสต์ ความผูกพันโยงใยกับวัฒนธรรมกรีก-โรมัน การตื่นตัวต่อแนวคิดเรื่อง “แสงสว่างทางปัญญา” (Enlightenment) การสนองตอบต่อปรัชญาเยอรมัน การยกระดับทางศิลปะ วรรณคดี ดนตรี การเต้นรำ ฯลฯ ล้วนแต่ทำให้ชาวหมีขาวรัสเซียออกไปทาง “ฝรั่ง” แบบแทบจะทั้งแท่ง ทั้งด้าม...
แต่ภายใต้ “สงครามลูกผสมแบบเบ็ดเสร็จ” ที่ทำให้บรรดาประเทศตะวันตกแทบทั้งแผง หันมาต่อต้าน ปฏิเสธ และพยายามโดดเดี่ยวรัสเซีย แบบชนิดแทบอยากจะลบออกจากแผนที่โลกเอาเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นในทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ประเพณี กีฬา หรือกระทั่งสัตว์ตัวเล็กๆ อย่าง “แมว” ถ้าดันมีสายเลือด สายพันธุ์รัสเซีย ยังต้องถูกต่อต้าน ถูกปฏิเสธกันอีกจนได้ ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง ที่ทำให้ไม่เพียงแต่ประเทศอย่างอเมริกา อียู อังกฤษ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ฯลฯ ซึ่งออกจะกระเหี้ยนกระหือรือในการต่อต้านรัสเซียเท่านั้น แต่กระทั่งประเทศยุโรปที่เคยออกอาการ “กลางๆ” ไม่ว่าจะเป็นฟินแลนด์ สวีเดน ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ ฯลฯ ยังเลิกคิดที่จะเป็นกลางเหมือนเดิม จนทำให้การ “แยกขาด” หรือการ “ตัดขาด” จากโลกตะวันตกของรัสเซีย จึงกลายเป็น “ข้อเท็จจริง...ที่เอ็งมิอาจปฏิเสธ”...
ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้นักคิดอย่าง “นายDmitri Trenin” ท่านเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่รัสเซียต้องหันไปทุ่มเทให้น้ำหนักกับการยกระดับความสำคัญของ “โลกที่ไม่ใช่ตะวันตก” ทั้งหลาย ไม่ว่าเอเชีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และละตินอเมริกา ฯลฯ ในทุกๆ เรื่อง ทุกๆ ด้าน หรือ “ตั้งแต่อินโดนีเซียไปจนถึงบราซิล...ตั้งแต่อาร์เจนตินาไปถึงแอฟริกาใต้” อะไรประมาณนั้น ดังนั้นท่ามกลางบรรยากาศแห่งการไล่บด ไล่บี้ของ “สงครามลูกผสม” ซึ่งอาจดำเนินต่อเนื่องไปอีกเป็นปีๆ หรือเป็นทศวรรษเอาเลยก็ไม่แน่!!! อันนี้นี่แหละ...ที่อาจส่งผลให้ฉากสถานการณ์ในโลกนี้ ต้องมีอันแปรเปลี่ยนไปตามการปรับตัว ปรับสภาพ ปรับทิศทางนโยบายของประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอย่างรัสเซีย ประเทศที่เคยถือเป็น “แหล่งวัตถุดิบ” ของ “อุตสาหกรรมตะวันตก” เป็น “ตะกร้าขนมปัง” ของยุโรปทั้งยุโรป เป็น “ตลาด” หรือเป็นผู้นำเข้ารายสำคัญของอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีตะวันตก ชนิดอาจเรียกได้ว่าเป็น “กระดูกสันหลัง” ของยุโรปทั้งยุโรปมาแต่อ้อน แต่ออก...
เพราะท่ามกลางความพยายามต่อต้าน ปฏิเสธและโดดเดี่ยวรัสเซีย แบบชนิดกะจะลบออกจากแผนที่โลกให้จงได้ คงต้องยอมรับว่าได้ก่อให้เกิด “รายจ่าย” ราคาแพงมหาศาล สำหรับบรรดาประเทศใน “โลกตะวันตก” อย่างมิอาจปฏิเสธ ชนิดอาจต้อง “เจ๊ง” ไปเป็นประเทศๆ เอาเลยก็ไม่แน่!!! โดยเฉพาะถ้าดูจากข่าวคราวว่าด้วยการขาดแคลนพลังงานอาหาร การพุ่งขึ้นของภาวะเงินเฟ้อระดับทะลุเพดาน ทะลุหลังคา ฯลฯ ในแต่ละประเทศ ไม่ว่าจะเป็น “เสาหลัก” ของประเทศอียู อย่างเยอรมนีที่รัฐมนตรีเศรษฐกิจ (Robert Habeck) ต้องออกมาสารภาพแบบตรงไป-ตรงมา ว่าภาวะขาดแคลนพลังงานอาจทำให้ “ระบบอุตสาหกรรมทั้งระบบ” ของเยอรมนีอาจพังพินาศกันไปเป็นแถบๆ ประเทศที่เคยเป็นแหล่งสำรองพลังงานบางส่วนหรือสามารถนำมาชดเชยการขาดแคลนพลังงานในยุโรปได้มั่ง อย่างนอร์เวย์ แต่เมื่อเจอภาวะเงินเฟ้อระดับ 5.7 เปอร์เซ็นต์ข้าว-ของเริ่มแพงหูฉี่ หูลี่ บรรดาคนงานขุดเจาะพลังงานจำนวนถึง 117 สหภาพ ภายใต้เครือข่าย “Audun Ingvartsen” เลยอดไม่ได้ต้องประกาศนัดหยุดงานเพื่อขอค่าแรงเพิ่ม นับจากวันที่ 9 ก.ค.เป็นต้นไป และนั่นย่อมทำให้ปริมาณแก๊ส 13 เปอร์เซ็นต์และน้ำมันไม่น้อยกว่า 7 เปอร์เซ็นต์ที่เคยผลิตได้ ย่อมหายไปจากตลาดอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้เลย...
ขณะเดนมาร์กที่เจอเข้ากับภาวะเงินเฟ้อระดับ 7.4 เปอร์เซ็นต์ หรือระดับสูงสุดในรอบ 40 ปีไม่ต่างจากอเมริกาหรืออังกฤษชนิดผู้ว่าการธนาคารเดนมาร์ก อย่าง “นายLars Rohde” ก็อดไม่ได้ต้องออกมาสารภาพแบบตรงไป-ตรงมาอีกเช่นกันว่า ระบบเศรษฐกิจเดนมาร์กกำลังก้าวเข้าสู่ “วงจรอันเลวร้ายที่สุด” ส่วนสวีเดนที่เจอกับภาวะเงินเฟ้อระดับ 7.2 เปอร์เซ็นต์ รัฐมนตรีคลัง “นายMike Damberg” ก็กำลังออกอาการอ้วกแตก-อ้วกแตนไม่ต่างไปจากกัน ยิ่ง “สุนัขพูเดิลของอเมริกา” อย่างอังกฤษ ยิ่งหนักหนา-สาหัสยิ่งไปกว่านั้น คือไม่ใช่แค่กรอบเป็นข้าวเกรียบเมืองเพชร เพราะภาวะเงินเฟ้อเท่านั้น แต่เพราะความเละตุ้มเป๊ะของการเมืองอังกฤษ ที่ทำเอารัฐมนตรีสาธารณสุข “นายSajid Javid” และรัฐมนตรีคลัง “นายRishi Sunak” ทนอยู่ต่อไปไม่ไหว ต้องตัดสินใจ “ลาออก” กันเห็นๆ ส่งผลให้เกิดสภาวะที่ผู้นำฝ่ายค้านพรรคแรงงาน ท่าน “Sir Keir Starman” ท่านสรุปเอาไว้นั่นแหละว่า... “เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า...ความเป็นรัฐบาลขณะนี้ ได้ล่มสลายลงไปแล้ว” ฯลฯ ฯลฯ
ส่วนประธานสมาคม “เสือก” กิตติมศักดิ์อย่างคุณพ่ออเมริกา ก็ทำท่าว่าใกล้จะไปแหล่-มิไปแหล่เต็มที ไม่ใช่แต่ภาวะเศรษฐกิจที่ระดับประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) “นายJerome Powell” เพิ่งออกมายอมรับเมื่อวัน-สองวันนี้ ว่าภาวะ “เศรษฐกิจถดถอย” ในสหรัฐฯ เป็นสิ่งที่ “เป็นไปได้ในแง่ความเป็นจริง” ไม่ว่าธนาคารกลางจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไปแล้วกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ยังมีเรื่องของความขัดแย้งทางการเมืองที่หามุมจบ หาจุดลงตัวแทบไม่เจอ แถมแต่ละฝ่าย แต่ละราย ยังมี “ปืน” อยู่ในมือเอาไว้ระดับนับร้อยๆ ล้านกระบอก มากกว่าจำนวนประชากรในประเทศ อีกทั้งยังพร้อมจะควักออกมาห้ำหั่นซึ่งกันและกัน ดังที่ผลสำรวจวิจัยของ “โพล” ต่างๆ เขาว่าไว้ซะอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ การคิดจะ “ตัดขาด-แยกขาด” จาก “โลกตะวันตก” ที่กำลังใกล้ “เจ๊ง” ยิ่งเข้าไปทุกทีของประเทศรัสเซีย จึงย่อมนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงต่อฉากสถานการณ์ในอนาคตอย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ โดยไม่ว่าใครเป็นฝ่ายแพ้-ฝ่ายชนะก็ตาม แต่มันน่าจะทำให้สิ่งที่เรียกว่า “ระเบียบโลกใหม่” ที่ผิดแผกแตกต่างไปจากระเบียบโลกภายใต้การกำหนดของ “โลกตะวันตก” มาโดยตลอด ยิ่งเป็นสิ่งที่มีความเป็นไปได้ หรือเป็นจริง-เป็นจัง ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...