xs
xsm
sm
md
lg

ความจริงอีกด้าน! หลังปลดล็อกกัญชา-กระท่อม จำนวนบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดลดลงทั่วประเทศ / ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ณ บ้านพระอาทิตย์
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์


นับตั้งแต่ที่กัญชาได้ถูกปลดล็อกออกจากยาเสพติดและมีผลทางกฎหมายมาตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2565 เป็นต้นมา ผ่านมา 7 วันได้เกิดปรากฏการณ์ที่มีประชาชนเข้ามาชมเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่น “ปลูกกัญ”มากกว่า 38 ล้านครั้ง และมีผู้จดแจ้งเพื่อการปลูกสำเร็จกว่า 8 แสนราย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ามีประชาชนได้รู้สรรพคุณของกัญชา และเป็นความต้องการของคลื่นมหาชนที่จะปลูกกัญชาเพื่อสุขภาพและเศรษฐกิจอย่างชัดเจน

นอกจากนั้นยังได้พบว่ามีประชาชนที่ใช้กัญชาหรือปลูกกัญชาใต้ดินอยู่แล้วเป็นจำนวนมากได้เข้ามาจดแจ้งกับทาง องค์การอาหารและยา (อ.ย.) กระทรวงสาธารณสุข ที่ต้องการโอกาสที่จะได้เข้าสู่ระบบและดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายที่จะมีต่อไปในวันข้างหน้า จึงถือเป็นช่วงเวลาที่ทำให้การแอบปลูกและการใช้กัญชาที่อยู่ใต้ดินได้สามารถถูกเก็บข้อมูลและบันทึกมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ อันจะนำไปสู่การพัฒนาในเรื่องกัญชาและลดปัญหาสิ่งที่ไม่ถูกต้องในเรื่องกัญชาต่อไปในระหว่างการรอ พ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ.ศ….แล้วเสร็จและประกาศบังคับใช้

อย่างไรก็ตามการที่ประเทศไทยได้เดินทางมาสู่การปลดล็อกกัญชาจุดนี้ได้นั้น ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยพรรคภูมิใจไทยเพียงพรรคเดียว

หากแต่เป็นความเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์จากการประชุมร่วมรัฐสภา ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล ตลอดจนสมาชิกวุฒิสภา จนได้มาซึ่งพระราชบัญญัติ ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ซึ่งมีการแก้ไขทำให้กัญชาและ กระท่อมพ้นออกจากยาเสพติดประเภทที่ 5 ตามมาตรา 29 (5) ของประมวลกฎหมายยาเสพติด[1]

โดยการตัดทั้งกระท่อมและกัญชาออกจากยาเสพติดประเภทที่ 5 ตามมาตรา 29 (5) ของประมวลกฎหมายยาเสพติดนั้น ไม่มีการแก้ไขหรือทักท้วงจากการประชุมสมาชิกรัฐสภาในคราวประชุมร่วมกันของรัฐสภา เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2564 แม้แต่คนเดียว[2]

โดยต่อมาในคราวประชุมร่วมกันของรัฐสภาเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2564 หลังจากพิจารณารายมาตราเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงได้ลงมติเห็นชอบกับประมวลกฎหมายยาเสพติดด้วยคะแนนอย่างท่วมท้นถึง 467 เสียง โดยไม่มีผู้คัดค้านเลยแม้แต่คนเดียวเช่นกัน[3]

และด้วยเจตนารมณ์ของสมาชิกรัฐสภาอย่างท่วมท้น จึงส่งผลทำให้เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 นายอนุทิน ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้อาศัยความเห็นชอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ซึ่งมีนายวิษณุ เครืองาม เป็นประธาน)ได้ประกาศกระทรวงสาธารณสุขให้ต้นกัญชาทั้งต้นไม่เป็นยาเสพติดให้โทษอีกต่อไป[4]

แต่ให้คงเหลือสารสกัดที่มีสาร THC เกินร้อยละ 0.2 ของนำ้หนักเป็นยาเสพติด (ตามมติขององค์การอนามัยโลก เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2562) โดยให้มีผลบังคับใช้ 120 วันนับตั้งแต่ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา[4]

อย่างไรก็ตามแม้กัญชาจะออกจากบัญชียาเสพติดประเภทที่ 5 แล้ว แต่ประเทศไทยก็มีพันธะต่อการปฏิบัติตามอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 ดังนั้นแม้จะไม่เรียกว่ากัญชาว่าเป็นยาเสพติดให้โทษแล้ว แต่ก็ยังคงต้องมีการ “ควบคุม”ตามมาตรฐานของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศอยู่เช่นเดียวกัน

สำหรับประเทศไทยได้อาศัย ร่าง พระราชบัญญัติ กัญชา กัญชง พ.ศ…. [5]ขึ้นมาเพื่อควบคุมแลกำกับดูแลอีกชั้นหนึ่ง โดยเชื่อในเวลานั้นว่าพระราชบัญญัติ กัญชา กัญชง พ.ศ…. ที่จัดทำขึ้นอย่างเร่งด่วนในทันทีนั้น น่าจะแล้วเสร็จได้ภายใน 120 วัน ก่อนที่กัญชาจะถูกปลดล็อกในวันที่ 9 มิถุนายน 2565

แต่ทว่าขั้นตอนของร่าง พระราชบัญญัติ กัญชา กัญชง พ.ศ….นั้น ได้ถูกวินิจฉัยว่าเป็นกฎหมายทางการเงิน จึงต้องผ่านขั้นตอนความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเสียก่อน จึงทำให้เสียเวลายืดออกไป และต่อมาพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ตราพระราชกฤษฎีกาปิดสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง พ.ศ. 2565 ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565[6] ทำให้ร่าง พระราชบัญญัติ กัญชา กัญชง พ.ศ…. [5]จึงไม่สามารถเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรได้ทัน

และกว่าจะมีการเรียกการประชุมรัฐสภาอีกครั้งก็เป็นวันที่ 22 พฤษภาคม 2565[7] ซึ่งยังต้องมีวาระการอภิปรายและลงมติงบประมาณประจำปี 2566 ด้วย

จากเหตุผลดังกล่าวจึงเป็นผลทำให้ ร่าง พระราชบัญญัติ กัญชา กัญชง พ.ศ…. [5] ได้เข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 1 เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2565 ซึ่งกว่าที่จะผ่านวาระที่ 2 และ 3 ย่อมไม่มีทางที่จะได้ทันวันปลดล็อกกัญชา วันที่ 9 มิถุนายน 2565 ได้

ในสถานการณ์ดังกล่าว กระทรวงสาธารณสุข ได้อาศัยองค์การอาหารและยา (อ.ย.) เพื่อใช้กฎหมายหรือเครื่องมือ “เท่าที่มี” เพื่อแก้ไขปัญหาและทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านในช่วงการรอร่าง พระราชบัญญัติ กัญชา กัญชง พ.ศ…. ให้แล้วเสร็จให้ได้อย่างดีที่สุด

ไม่ว่าจะเป็นมาตรการการลงทะเบียนจดแจ้ง หรืออาศัยประกาศกระทรวงสาธารณสุขเรื่องกำหนดการทำให้เกิดกลิ่น หรือควันกัญชากัญชง[8], การอาศัยพระราชบัญญัติคุ้มครองส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 เพื่อประกาศให้กัญชาเป็นสมุนไพรควบคุม[9] เพื่อประกาศกระทรวงสาธารณสุขให้กัญชา กัญชง เป็นพืชควบคุม ที่ห้ามจำหน่ายหรือใช้โดยผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี, ไม่อนุญาตให้สูบในที่สาธารณะ และห้ามใช้กับสตรีมีครรภ์ หรือสตรีให้นมบุตร[10]

ส่วนที่หลายคนกังวลว่าช่วงเวลาสุญญากาศนี้ จะทำให้ประเทศไทยถูกมาตรการลงโทษจากนานาชาติที่ฝ่าฝืนต่ออนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษนั้น ก็ต้องย้อนกลับไปดูการนิรโทษกรรมช่วงเปลี่ยนผ่าน ตามมาตรา 22 ของพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) ของผู้ที่ครอบครองกัญชาก่อนวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562 ให้มาขึ้นทะเบียนกับองค์การอาหารและยา (อ.ย.)ภายใน 90 วัน[11] ก็สามารถผ่านช่วงเวลาสุญญากาศดังกล่าวมาได้แล้ว และก็ไม่มีการแพร่ระบาดจนเกิดวิกฤติชาติบ้านเมืองแต่ประการใด และไม่ได้มีการถูกมาตรการลงโทษจากนานาชาติด้วยเช่นกัน

ดังนั้นในเวลานี้จึงควรให้กำลังใจนายอนุทิน ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่มีความตั้งใจและกล้าหาญจะใช้ทุกวิถีทางที่ให้ประชาชนให้สามารถเข้าถึงการใช้กัญชาเพื่อทางการแพทย์ เพื่อสุขภาพ และเศรษฐกิจโดยไม่ต้องถูกไล่จับติดคุกเหมือนที่ผ่านมานั้น ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถผ่านช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านในช่วงสุญญากาศนี้ไปได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตามยังมีข้อมูลที่น่าสนใจในเรื่องกัญชาที่ท่านผู้อ่านควรจะทราบและตระหนักเพื่อความเข้าใจบางประเด็นดังต่อไปนี้
1.จากงานวิจัยในวารสารทางด้านการเสพติดชื่อ Drug and Alcohol dependence ได้ตีพิมพ์งานวิจัยเมื่อเดือนพฤษภาคม 2554 พบว่าการสูบกัญชาเสพติดยากกว่าการติดเหล้าและติดบุหรี่นับตั้งแต่ครั้งแรกที่มีการใช้ โดยบุหรี่มีโอกาสเสพติดได้มากที่สุดร้อยละ 67.5, เครื่องดื่มแอลกอฮอลมีโอกาสเสพติดร้อยละ 22.7, ในขณะที่กัญชามีโอกาสเสพติดได้เพียงร้อยละ 8.9 เท่านั้น[12]

2.การเริ่มใช้กัญชาตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้มีโอกาสที่จะเสพติดกัญชามากกว่าเริ่มใช้กัญชาตอนเป็นผู้ใหญ่แล้ว โดยหากเริ่มเสพกัญชาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นก่อนอายุ 20 ปี ความน่าจะเป็นในการเสพติดกัญชาจะเพิ่มขึ้นเป็น 17%[13],[14]

ดังนั้นกระทรวงสาธารณสุขจึงได้อาศัย พระราชบัญญัติคุ้มครองส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 มาตรา 44 และ 45[9] เพื่อกำหนดมาตรการคุ้มครองเด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปีไม่ให้เข้าถึงกัญชา อีกทั้งยังไม่ให้มีการสูบกัญชาในที่สาธารณะอีกด้วย[10] หากมีการกระทำความผิดย่อมมีการบังคับใช้กฎหมายและมีโทษทางอาญาด้วยเช่นกัน

3.นับตั้งแต่เริ่มให้มีการปลดล็อกกัญชาทางการแพทย์ในปี 2562 ได้ปรากฏจากระบบข้อมูลการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดของประเทศ (บสต.) ของกระทรวงสาธารณสุข พบว่าอัตราการบำบัดและฟื้นฟูจากยาเสพติดโดยภาพรวมลดลงอย่างต่อเนื่อง


โดยปี 2561 ซึ่งเป็นเวลาก่อนปลดล็อกกัญชาทางการแพทย์ มีผู้ที่ได้รับการบำบัดและฟื้นฟูผู้ติดยามากถึง 244,124 ราย แต่ในปี 2564 ลดลงเหลือ 174,432 ราย[15] ในจำนวนนี้ได้รวมถึงจำนวนผู้ติดยาที่เข้าสู่การบำบัดลดลงในยาเสพติดหลายประเภท ได้แก่ ยาบ้า ฝิ่น สารระเหย กัญชา และกระท่อม








สอดคล้องกับการวิจัยที่ได้มีการสำรวจในแคนนาดาระหว่าง พ.ศ. 2559-2561 พบว่ากัญชามีบทบาทประมาณร้อยละ 25 ในการช่วยการลดยาเสพติดที่เป็นอันตรายร้ายแรง (Harm Reduction) เช่น เฮโรอีน ฝิ่น โคเคน ยาบ้า และติดแอลกอฮอลด้วย[16]
ส่วนกรณีศึกษาล่าสุดได้ถูกนำมารายงานโดย ผศ.ดร.นพ.ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2565 ในงานมหกรรม “เดินหน้า..กัญชาเสรี แก้เจ็บแก้จน”จัดโดย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกว่า

“มีผู้ป่วยที่ติดยาบ้าจังหวัดขอนแก่น มีอาการทางจิตประสาทถึงขั้นจะทำร้ายร่างกายมารดาตัวเอง แต่สามารถหายจากการติดยาบ้าด้วยการสูบกัญชา และหยุดใช้กัญชาด้วยในเวลาต่อมา และยังชวนเพื่อนให้หยุดยาบ้าได้อีก 5 คน และกลายเป็นคนที่ปลูกผักไร้สารพิษ และเป็นวิทยากรสอนตามโรงเรียนต่างๆอีกด้วย” [17]

4.จากข้อมูลของศูนย์กลางฐานข้อมูลสาธารณสุข (HDC) กระทรวงสาธารณสุข พบว่าผลอาการข้างเคียงในการใช้กัญชาที่ต้องได้รับการบำบัดในโรงพยาบาลได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากรายงานสูงสุดเดือนมิถุนายน ปี 2562 กว่า 200 ราย ลดลงเหลือเพียงประมาณ 50 รายในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ข้อมูลนี้ได้แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการและความเข้าใจในการใช้กัญชาอย่างปลอดภัยดีขึ้นเป็นลำดับ[18]


5. กัญชาและกระท่อมได้ถูกนำมาใช้ในตำรับยาไทยสำหรับบำบัดการ “อดฝิ่น” ซึ่งเป็นยาเสพติดง่ายและมีอันตราย ปรากฏในคัมภีร์แพทย์แผนไทยโบราณเล่ม 3 ของ ขุนโสภิตบรรณรักษ์ (อำพัน กิตติขจร) กำหนดตำรับยา “อดฝิ่น” ความว่า

“ยาทำให้อดฝิ่น เอาขี้ยา 2 สลึง เถาวัลย์เปรียงพอประมาณ กันชาครึ่งกรัม ใบกระท่อม เอาให้มากกว่ายาอย่างอื่น ต้มกิน ให้กินตามเวลาที่เคยสูบฝิ่น เมื่อกินไป 1 ถ้วย ให้เติมน้ำ 1 ถ้วย ให้ทำดังนี้จนกว่าจะจืด เมื่อกินจนน้ำจืดแล้วยังไม่หาย ให้ต้มกินหม้อใหม่ต่อไป”[19]

6.หมอแพทย์แผนไทยไม่สูบกัญชา โดยพระยาพิศณุประสาทเวช ผู้จัดการโรงเรียนเวชสโมสร เมื่อ 114 ปีก่อนคือ พ.ศ. 2451 ได้เขียนตำราเวชศึกษาแพทย์ศาสตร์สังเขปในหัวข้อเรื่อง “แพทยาลังการว่าด้วยคุณธรรมอันเป็นเครื่องประดับหมอ” ข้อ 12 ความว่า

“ข้อ 12 ไม่เป็นคนมีสันดานอันประกอบด้วยความมัวเมา เป็นต้นว่าเสพสุรา สูบกัญชา ยาฝิ่น หรือมัวเมาละเลิงหลงไปในการเล่นเบี้ย เล่นการพนันต่างๆ อันเป็นทางที่จะทำตนให้ได้ความเดือดร้อนรำคาญ เพราะความประพฤติอันเป็นข้าศึกกับคุณวิชชาของตน เพื่อหลีกเลี่ยงไปพ้นผิดมิให้พัวพัน มีสันดานตั้งมั่นในทางสุจริตดังนี้ จัดเป็นคุณธรรมเครื่องประดับของหมอประการหนึ่ง”[20]

7. การสูบช่อดอกกัญชาเมื่อได้รับความร้อน สารที่ไม่เมา THCA จะเปลี่ยนเป็นสารเมาชื่อ THC และผ่านเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง ออกฤทธิ์เร็ว 10 -30 นาที และหมดฤทธิ์ภายใน 3 ชั่วโมง ในขณะที่ดื่มกินกัญชา THC จะถูกเมทาบอไลท์ที่ตับ เปลี่ยนเป็น 11-Hydroxy-Δ9-tetrahydrocannabinol ฤทธิ์แรงกว่า THC 3-7 เท่าตัว แต่ใช้เวลาในการออกฤทธิ์ช้า ผู้ใช้จะรู้สึกได้ช้าหลังจาก 30-90 นาที และเกิดอาการเมาค้างอยู่นานประมาณ 6 ชั่วโมง

จุดเด่นของ “การสูบ” กัญชาคือการออกฤทธิ์เร็วจึงทำให้รู้ขนาดของการใช้ว่าเกินพอดีเร็วกว่าการรับประทาน ย่อมมีผลต่อการรักษาที่เป้าหมายเรื่องความเร็วในการออกฤทธิ์ของ THC หากสูบเกินจะเกิดอาการมึนเมา และต้องนอนหลับเร็ว แต่มีการออกฤทธิ์ทางยาน้อยกว่าการกิน จึงหวังผลการรักษาได้น้อยกว่าการกิน แต่มีผลเสียคือการเผาไหม้ซึ่งนอกจากจะก่อให้เกิดความรำคาญของกลิ่นและควันรอบด้านแล้ว ยังมีผลต่อสุขภาพต่อทางเดินหายใจของผู้สูบอีกด้วย

จุดเด่นของ “การกิน” กัญชาคือการออกฤทธิ์มากในกระแสเลือด จึงหวังผลทางการแพทย์และการรักษาได้มากกว่า ในตำรับยาไทยถ้าใส่กัญชาในปริมาณมากนั้นมักจะพบการใช้แต่ “ใบกัญชา”โดยส่วนใหญ่ หรือหากถ้าจะมีการใช้ “ดอกกัญชา” อยู่บ้างก็จะใส่ปริมาณน้อยมาก และด้วยการใช้ตำรับยาหรือตำรับอาหารรสร้อนที่มีการเข้ากัญชา จึงมีพริกไทยหรือพริกล่อนที่จะเพิ่มฤทธิ์ทางยามาก การใส่กัญชาเพื่อการรับประทานทางยาจึงใส่ไม่มาก และต้องเป็นไปตามภูมิปัญญาเดิมเป็นหลัก

ส่วนการทำอาหารสมัยใหม่ที่มีการใช้น้ำมัน น้ำซุปที่มีไขมัน ครีม เนย และมีการใช้ความร้อนจะทำให้สาร THC หรือ CBD ที่มีอยู่ในเนื้อของพืชกัญชาออกมาได้มาก เช่น การทำเบเกอรี่ เครื่องดื่มที่มีแอลกออล์ การทอดด้วยน้ำมัน ฯลฯ

ซึ่งการกินกัญชาจะออกฤทธิ์ช้า แต่ออกฤทธิ์แรงกว่าการสูบ จึงควรปรุงอาหารอย่างระมัดระวังและใส่ให้น้อยที่สุดตามคำแนะนำของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และหากใส่ในปริมาณที่มากเกินก็อาจจะบริโภคไปโดยไม่รู้ตัวเพราะยังไม่แสดงอาการ แต่เมื่อเกิดอาการเมาจาการบริโภคเกิน จะทำให้เกิดความหวาดกลัว ความดันลด น้ำตาลตก หัวใจเต้นเร็ว ทรงตัวไม่ได้ ฯลฯ จึงมีโอกาสเข็ดขยาดในการใช้กัญชาอีก และยังเสี่ยงอุบัติเหตุในการขับรถเพราะการออกฤทธิ์ช้าอีกด้วย

ดังนั้นไม่ว่าจะใช้กัญชาในรูปแบบใด จึงควรอยู่ในสถานะที่พร้อมจะนอนหลับได้หลังการบริโภค เช่น บริโภคหรือใช้กัญชาก่อนนอนเท่านั้น

8. จากงานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์นิว อิงแลนด์ The New England Journal of Medicine พ.ศ. 2531 พบว่าในปริมาณการสูบ 1 มวนขนาดใกล้เคียงการสูบบุหรี่ การสูบกัญชาจะทำให้มีระดับคาร์บอนมอนนอกไซด์ในกระแสเลือด (Carboxyhemoglobin) สูงกว่าการสูบบุหรี่ 5 เท่าตัว, มีสารน้ำมันดิน หรือทาร์ (Tar) สูบลึกเข้าไปมากกว่าการสูบบุหรี่ 3 เท่าตัว ทั้งนี้เพราะรูปแบบของการสูบของกัญชาในแต่ละคำมีขนาดใหญ่กว่าการสูบบุหรี่ประมาณร้อยละ 66 ใช้แรงสูบลึกกว่าการสูบบุหรี่ประมาณร้อยละ 33 และสูดคงค้างในทางเดินหายใจนานกว่าบุหรี่ 4 เท่าตัว จึงทำให้มีภาระต่อทางเดินหายใจมากกว่าบุหรี่[21]

9.การสูบกัญชาด้วยการเผาไหม้อาจเพิ่มความเสี่ยงในโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังและความเสี่ยงความเจ็บป่วยโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง จึงเพิ่มความเเสี่ยงในอาการใดอาการหนึ่งหรือหลายอาการ เช่น ไอ ผลิตเสลดเพิ่มขึ้น รวมถึงการหายใจด้วยความยากลำบากขึ้น โดยเฉพาะหากใช้เป็นเวลานาน[22]

10.บุหรี่และเหล้าได้ถูกประกาศโดยสำนักงานวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศ (The International Agency for Research on Cancer (IARC)) ภายใต้องค์การอนามัยโลกได้ประมวลงานวิจัยสารก่อมะเร็งจากทั่วโลกนับตั้งแต่การก่อตั้งจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 57 ปี พบว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ เป็นสาเหตุของมะเร็งประเภทที่ 1 ได้หลายอวัยวะ[23]

ในขณะที่ “กัญชา”แม้จะมีสารที่เกิดการเผาไหม้บางชนิดจากการสูบที่เป็นสารก่อมะเร็ง แต่เมื่อพิจารณาวิจัยอย่างรอบด้านและตัดปัจจัยอื่นที่กวนผลแล้ว สำนักงานวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศก็ยังไม่เคยให้ “กัญชา” อยู่ในบัญชีสารก่อมะเร็งของสำนักงานวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศตลอด 57 ปีจนถึงปัจจุบัน[23]

11.ตำรับยาไทยที่มีการเข้ากัญชาได้มีบทบาทในการช่วยนอนหลับ เจริญอาหาร ลดอาการอักเสบ และอาการปวด รวมถึงความผิดปกติของระบบประสาทได้ และกำลังมีการวิจัยเพื่อพิสูจน์ภูมิปัญญานี้อย่างต่อเนื่อง เช่น ตำรับยาศุขไสยาศน์ ช่วยทำให้นอนหลับได้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ[24] นอกจากนี้ยังจะมีผลการวิจัยอีกหลายตำรับ รวมถึงตำรับยาที่เกี่ยวกับน้ำมันกัญชาที่ช่วยทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น [25]

แปลว่ากัญชาเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์ทางการแพทย์จริง ยาแผนไทยน้ำมันกัญชาจึงไม่ใช่เรื่อง “สีเทาๆ”ตามที่มีแพทย์บางคนกล่าวหาและด้อยค่าภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยที่ได้พระราชทานมาโดยพระปรีชาสามารถของบูรพมหากษัตริย์ไทย

ถึงเวลาที่คนไทยจะได้เรียนรู้ทั้งข้อดีในการนำสมุนไพรกัญชามาใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ เพื่อสุขภาพในการพึ่งพาตัวเอง และเพื่อเศรษฐกิจของทุกคน และช่วยกันหาหนทางในการลดผลเสียทั้งหลายและน้อมรับความเห็นของผู้ที่ห่วงใยบ้านเมืองที่จะมาช่วยทำให้การใช้กัญชาเป็นไปอย่างปลอดภัยมากขึ้น และเพื่อป้องกันไม่ให้พวกค้ายาเสพติดหรือบริษัทยาที่กำลังเสียผลประโยชน์ครั้งใหญ่มาใช้ข้ออ้างในการนำกัญชาไปขังเอาไว้ให้เป็นยาเสพติดอีก

ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต
ในฐานะ โฆษกคณะกรรมการสื่อสารและประชาสัมพันธ์การใช้กัญชาอย่างเข้าใจ กระทรวงสาธารณสุข
16 มิถุนายน 2565

อ้างอิง
[1] ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๖๔ และประมวลกฎหมายยาเสพติด, เล่ม ๑๓๘ ตอนที่ ๗๓ ก วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๔, หน้า ๒๕-๒๖
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2564/A/073/T_0001.PDF

[2] บันทึกการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง),สรุปข่าวรัฐสภา,วันที่ 22 มิถุนายน 2564, หน้า 14
https://ofm.mof.go.th/th/view/attachment/file/3135393438/ประชุมร่วมกันของรัฐสภา%20ครั้งที่%20๑%20(สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง)%20ในวันอังคารที่%20๒๒%20มิถุนายน%20๒๕๖๔.pdf

[3] บันทึกการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 4 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง),สรุปข่าวรัฐสภา,วันที่ 24 สิงหาคม 2564, หน้า 8
https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/parliament_parcy/ewt_dl_link.php?nid=80155&

[4] ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภทที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๖๕, เล่ม ๑๓๙ ตอนพิเศษ ๓๕ ง, วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕, หน้า ๘
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2565/E/035/T_0008.PDF

[5] ร่างพระราชบัญญัติ กัญชา กัญชง พ.ศ….
https://www.parliament.go.th/section77/manage/files/file_20220218082928_1_193.pdf

[6] ราชกิจจานุเบกษา, พระราชกฤษฎีกา ปิดสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง พ.ศ. ๒๕๖๕, เล่ม ๑๓๙, ตอนที่ ๑๒ ก, วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕, หน้า ๑
https://ofm.mof.go.th/th/view/attachment/file/3136363631/พระราชกฤษฎีกาปิดสมัยประชุม%20ครั้งที่สอง%20พ.ศ.%202565.pdf

[7] ราชกิจจานุเบกษา, พระราชกฤษฎีกา เรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. ๒๕๖๕, เล่ม ๑๓๙, ตอนที่ ๒๓ ก, วันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๖๕, หน้า ๑-๒
https://ofm.mof.go.th/th/view/attachment/file/3136373635/พระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปี%20ครั้งที่%201%20พ.ศ.%202565.PDF

[8] ราชกิจจานุเบกษา,ประกาศกระทรวงสาธารณสุข, เรื่อง กำหนดให้การกระทำให้เกิดกลิ่น หรือควันกัญชา กัญชง หรือพืชอื่นใด เป็นเหตุรำคาญ พ.ศ. ๒๕๖๕, เล่ม ๑๓๙ ตอนพิเศษ​ ๑๓๔ ง ลงวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๕, หน้า ๒
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2565/E/134/T_0002.PDF

[9] ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติคุ้มครองส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พุทธศักราช ๒๕๔๒, เล่มที่ ๑๑๒ ตอนที่ ๑๒๐ ก วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๒, หน้า ๔๙-๖๙
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2542/A/120/49.PDF

[10] ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องสมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ. ๒๕๖๕, เล่ม ๑๓๙ ตอนพิเศษ ๑๓๗ ง, ลงวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๕, หน้า ๙
https://www.facebook.com/123613731031938/posts/5351644228228836

[11] ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒, เล่มที่ ๑๓๖ ตอนที่ ๑๙ ก, วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒, หน้า ๑๓-๑๔
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2562/A/019/T_0001.PDF

[12] CatalinaLopez-Quintero, et al., Probability and predictors of transition from first use to dependence on nicotine, alcohol, cannabis, and cocaine: Results of the National Epidemiologic Survey on Alcohol and Related Conditions (NESARC),Drug and Alcohol dependence, Volume 115, Issues 1-2, May 2011, Pages 120-130
https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0376871610003753?via%3Dihub&

[13] Anthony JC. The epidemiology of cannabis dependence. In: Roffman RA, Stephens RS, eds. Cannabis Dependence: Its Nature, Consequences and Treatment. Cambridge, UK: Cambridge University Press; 2006:58-105.

[14] Hall WD, Pacula RL. Cannabis Use and Dependence: Public Health and Public Policy. Cambridge, UK: Cambridge University Press; 2003.

[15] ระบบข้อมูลการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดของประเทศ (บสต.), 2565

[16] Janice Mok, Use of Cannabis for Harm Reduction Among People at High Risk for Overdose in Vancouver, Canada (2016–2018), American Journal of Public Health (AJPH), Accepted: January 11, 2021 Published Online: April 07, 2021, Document Published May 2021
https://ajph.aphapublications.org/doi/abs/10.2105/AJPH.2021.306168?journalCode=ajph&

[17] ผศ.ดร.นพ.ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์, บรรยายเสวนาเรื่อง การใช้กัญชาตามภูมิปัญญาไทย, ในงานมหกรรม “เดินหน้า…กัญชาเสรี แก้เจ็บแก้จน” และการอบรมเรื่อง การเพาะปลูกและการเก็บเกี่ยวที่ดีของพืชกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และการส่งออก, ณ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพ, วันที่ 15 มิถุนายน 2565, Facebook กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข, คลิปวีดีโอชั่วโมงที่ 1:11:42 -1:12:60
https://www.facebook.com/watch/live/?ref=watch_permalink&v=760289735130337

[18] HDC, กระทรวงสาธารณสุข

[19] ขุนโสภิตบรรณรักษ์ (อำพัน กิตติขจร), คัมภีร์แพทย์แผนไทยโบราณเล่ม 3, 2504

[20] พระยาพิศณุประสาทเวช ผู้จัดการโรงเรียนเวชสโมสร, เวชศึกษาแพทย์ศาสตร์สังเขป, ๑๐ พฤศจิกายน รัตนโกสินทร ศก ๑๒๗

[21] Tzu-Chin WU, et al., Pulmonary Hazards of Smoking Marijuana as Compared with Tobacco, The New England Journal of Medicine, February 11, 1988
https://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJM198802113180603

[22] Tashkin DP, Coulson AH, Clark VA, Simmons M, Bourque LB, Duann S, Spivey GH, Gong H. 1987. “Respiratory symptoms and lung function in habitual, heavy smokers of marijuana alone, smokers of marijuana and tobacco, smokers of tobacco alone, and nonsmokers.” American Review of Respiratory Disease 135:205-216. DOI: 10.1164/arrd.1987.135.1.209
https://europepmc.org/article/med/3492159

[23] The International Agency for Research on Cancer (IARC),
https://monographs.iarc.who.int/wp-content/uploads/2019/12/OrganSitePoster.PlusHandbooks.pdf
https://monographs.iarc.who.int/monographs-available/

[24] ณัชชา เต็งเติมวงศ์, ประสิทธิผลและความปลอดภัยของตําารับยาสมุนไพรศุขไสยาศน์ในโรคนอนไม่ หลับเรื้อรัง : การศึกษาย้อนหลังเบื้องต้นในโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร,วารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ปีที่ 2 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2564
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JTTAM/article/download/246556/169681/931903

[25] อมรรัตน์ ราชเดิม, ประสิทธิผลและประสบการณ์ในการใช้ตำรับยาที่มีกัญชาเป็นส่วนผสม, โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน
https://tpd.dtam.moph.go.th/images/man/document/content_ganja_cer/2_-.pdf


กำลังโหลดความคิดเห็น