จบสิ้นกันไปเสียทีสำหรับการลุ้นว่าใครจะมาเป็นผู้ว่ากรุงเทพมหานครคนใหม่ ก็เป็นเต็งหามตลอดกาล ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เจ้าของฉายาบุรุษผู้ทรงพลังในปฐพี ไม่มีใครเกินนั่นเอง ทันทีที่ปิดหีบนับคะแนน ก็วิ่งเข้าป้ายม้วนเดียวจบ ทิ้งคู่แข่งไกลหายห่วง
นับว่าโพลทั้งหลายแม่นยำมาก ผู้ชนะกวาดคะแนนกว่า 1.3 ล้าน สร้างประวัติการณ์ใหม่สำหรับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ เมืองหลวง และผลออกมาอย่างนี้ต้องเขย่าขวัญรัฐบาลลุงห้าวเป้ง ถ้าเลือกตั้งทั่วไปจัดเมื่อไหร่ คงตัดสินชะตากรรมทั่นผู้นำได้
การชนะครั้งนี้ถือว่ามากเกินคาด ไม่มีใครเข้าใกล้ เพราะคนได้อันดับ 2 มีคะแนนไม่ถึง 3 แสน คงเป็นเพราะคนกรุงเทพฯ “หิว” คนเก่งมีฝีมือ มีประสิทธิภาพ ความสามารถ สำหรับแก้ปัญหาซับซ้อนสารพัดของคนกรุงเทพฯ กว่า 10 ล้านคน
คนกรุงคงเบื่อรัฐบาลและลุงอัศวิน คนที่รัฐบาลแต่งตั้งให้มาบริหารเมืองหลวงเพราะไม่ได้แสดงผลงานได้ถูกใจทั้งที่อยู่มานานกว่า 5 ปี และยังอยากอยู่ต่อ มีลุงห้าวเป้งเป็นสปอนเซอร์หลัก เมื่อผลเป็นอย่างนี้ ลุงห้าวเป้งย่อมตระหนักว่าคนไม่เอาลุง
ผู้ว่าฯ คนใหม่ต้องเร่งแสดงฝีมือให้เห็นผลโดยเร็วในรอบ 100 วันแรก จะต้องมีอะไรให้เห็นเป็นชิ้นเป็นอัน แม้จะเป็นหน้าฝน จะแก้ตัวก็ไม่ได้ เพราะได้หาเสียง เสนอแผนงานไว้เยอะ คนกรุงเทพฯ ก็เอาใจช่วยเพราะถือว่าพื้นเพคุณชัชชาติอยู่ในเกณฑ์ดี
งานแก้ไขปัญหากรุงเทพฯ ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยาก ขึ้นอยู่กับทีมงานโดยเฉพาะรองผู้ว่าฯ ทั้ง 4 รายว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไร คุณชัชชาติเลือกเองหรือพรรคการเมืองที่หนุนหลังจัดให้เพื่อให้สร้างรายได้นอกระบบ ประเด็นนี้ต้องระวังให้มาก
อย่าให้มีกลิ่นไม่สะอาดเรื่องเงินๆ ทองๆ งบประมาณ การจัดซื้อจัดจ้าง ฯลฯ
คนกรุงเทพฯ เบื่อหน่ายกับปัญหาการทุจริต คอร์รัปชัน ความไม่โปร่งใสในงานบริหารเมืองหลวงที่มีงบประมาณแต่ละปีสูงถึง 8 หมื่นล้านบาท อยู่ 4 ปีก็กว่า 3 แสนล้านบาท ถ้าคนคิดไม่ซื่อ จัดเอาไปเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ ก็สบายแล้ว แต่มันจะมากกว่า
การคอร์รัปชันระดับท้องถิ่นและระดับชาติเรื้อรัง ทำให้บ้านเมืองมีปัญหา เงินสูญหายไปสู่ขบวนการกังฉินแต่ละปีเป็นแสนๆ ล้านบาท ไม่เคยจับปลาตัวใหญ่ได้
การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นสัญญาณอะไรบ้าง ง่ายๆ ก็คือ คนไม่เอาคณะ 3 ลุง เพราะพรรคการเมืองของ 3 ลุงแทบไม่ได้อะไรจากศึกครั้งนี้ ความนิยมของลุงห้าวเป้งยิ่งมีปัญหาหนัก โอกาสที่จะอยู่ต่ออีก 1 สมัยดูยากกว่าเดิมมาก พรรคใดจะเสนอชื่อ
มาที่ 2 ถือว่า “พี่เอ้” ไม่ธรรมดาเพราะผ่านแรงกดดัน แรงเสียดทานเรื่องส่วนตัวและเรื่องคนอื่นในค่ายสะตอ ทำให้ต้องพยายามอย่างหนัก คะแนนสูสีคู่คี่กับเสี่ยวิโรจน์ พรรคก้าวไกล ชนะกันเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด ลมหายใจร้อนๆ รดต้นคอ
ถือว่าประสบความสำเร็จสำหรับ “พี่เอ้” โอกาสจะไปต่อด้านการเมืองน่าจะยังมีอยู่ จะสังกัดค่ายสะตอเหมือนเดิมหรือหาที่ลงใหม่ เพราะครั้งนี้น่าจะรู้ซึ้งว่าพรรคที่เคยหวังว่าจะเป็นแรงหนุนส่งนั้น ที่แท้เป็นเช่นใด วันเลือกตั้ง แกนนำแทบไม่รอดูผล
ผู้ที่ผิดหวังที่สุดน่าจะเป็นเสี่ยวิโรจน์เข้าป้ายที่ 3 แบบมีโอกาสได้ลุ้นที่ 2 ในใจลึกๆ แล้วน่าจะหวังคะแนนมากกว่านี้ เพียงแต่ว่าความหวังใน “คนรุ่นใหม่” ที่คาดว่ามี 7 แสนคนน่าจะเทคะแนนให้ส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะเครือข่ายเยาวชนชู 3 นิ้ว
แต่กลุ่มพวกนี้กลับไม่ปรากฏ หรือส่วนหนึ่งหันไปโหวตให้คุณชัชชาติ ประเด็นที่ “คนรุ่นใหม่” ไม่โหวตให้นั่นน่าจะเป็นเรื่องต้องถก วิเคราะห์กันในพรรคก้าวไกลซึ่งคนรุ่นใหม่น่าจะเป็นฐานคะแนนเสียง หรือเป็นแค่เกรียนคีย์บอร์ดในวันสุดท้ายแต่ไม่โผล่
เสี่ยวิโรจน์ต้องเร่งประเมินตัวใหม่เช่นกันว่าการหาเสียงแบบที่ผ่านมา ทำให้คนส่วนหนึ่งไม่ไว้ใจหรือไม่ เพราะแสดงความห้าวเกิน โดยเฉพาะประเด็นสนามหลวง
คนที่น่าจะดีใจสุดๆ คือหนุ่มอดีตรองผู้ว่าฯ “สกลธี” เพราะคะแนนมาที่ 4 ได้ 2 แสนกว่าเช่นกัน ตัวเองอาจไม่คาดว่าจะได้มากเท่านี้ ที่สำคัญสามารถเอาชนะ “ลุงวิน” อดีตผู้ว่าฯ ที่ช้ำในหัวอกยิ่งกว่าตกตาล เพราะเส้นทางไปต่อถูกสะบั้น แถมมาที่ 5
เสียราคาสปอนเซอร์รายใหญ่ นั่นคือลุงห้าวเป้งที่ออกปากรับประกันว่าประชาชนควรเลือก “นักปฏิบัติ” ซึ่งก็หมายความว่าให้เลือกลุงวินนั่นเอง เพราะเป็นคนที่ลุงห้าวเป้งตั้งให้เป็นผู้ว่าฯ อยู่ในได้นาน 5 ปี 5 เดือน 5 วัน แล้วจบไม่ต้องได้ลุ้น
ทำให้คนสงสัยว่าโพลที่ว่าลุงวินจะแซงคุณชัชชาติเต็งหามนั้นมาอย่างไร แถมซินแสเข่งยังรับประกันความแม่นยำ อ้างว่าลุงวินจะแหกโค้งปาดหน้าชัชชาติเข้าป้าย เมื่อผลออกมาอย่างนี้น่าจะทำให้ซินแสเข่งเลือกหาอาชีพใหม่ เพราะเป็นโหรไม่รุ่งแน่
ศึกครั้งนี้ทำให้ผู้สมัครทั้ง 30 รายต่างได้คะแนน มีสัดส่วนการตลาดของตนเอง หญิงเดี่ยวรสนา ได้คะแนนไม่ถึงแสน เท่ากับว่าแฟนที่เคยเลือกเธอมากกว่า 8 แสนคะแนนครั้งที่ลงเลือกตั้ง ส.ว.ต่างเปลี่ยนใจหรือว่าอายุมากเกินกว่าสนใจการเมือง
“ผู้พันปุ่น” ของเจ๊หน่อยทำได้ไม่ดี เพราะประกาศตัวช้า และศึกครั้งนี้ตัวเด่นมีมาก แน่นขนัดเหมือนอ่างปลาดุก ทำให้คะแนนไม่ถึงแสนเช่นกัน ต้องประเมินกันใหม่ แต่ที่ต้องเร่งหาทางแก้ไขก็คือคณะ 3 ลุง ต้องรับรู้ว่าเป็นยุคที่ “คนกรุงไม่เอาพวกลุง”
ซ้ำไปจัดเลือกตั้งวันครบรอบ 8 ปีของการรัฐประหารยึดอำนาจ ทำไปแล้วไม่มีอะไรดีขึ้น ลุงห้าวเป็นเป็นเหมือน “ยาหลอก” หมดอายุ (expired placebo) นั่นเลย
พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลได้สมาชิกสภาเขต 19 และ 14 เก้าอี้ตามลำดับ กุมเสียงข้างมาก และสามารถเป็นพลังเสริมให้ผู้ว่าฯ คนใหม่ แบบไร้ก้างขวางคอ อาจมีข้อต่อรองบางอย่าง ผลอย่างนี้น่าหวาดเสียวมากในการเลือกตั้งทั่วไปของพวก 3 ลุง