วันนี้ พูดได้ว่าไม่มีชาวพุทธผู้เคร่งครัดในการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธศาสนาคนใด ไม่รู้สึกสะเทือนใจ เมื่อได้เห็นข่าวหมอปลาและทีมงาน โดยมีนักข่าว เจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และทนายความร่วมด้วย ได้บุกวัดป่าดงสว่างธรรม ต.โคกนาโก อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร เพื่อตรวจสอบหลวงปู่แสง ญาณวโร ในข้อหาลวนลามสีกา โดยอ้างว่ามีผู้ร้องเรียน และมีการแพร่ภาพและเสียงในขณะทำการตรวจสอบไปสู่สาธารณชน และทันทีที่ข่าวนี้แพร่ออกไป ได้มีเสียงสะท้อนกลับในเชิงต่อต้าน ไม่เห็นด้วยเนื่องจากรับไม่ได้ ทั้งนี้ เนื่องจากเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. หลวงปู่แสง ญาณวโร เป็นพระฝ่ายอรัญวาสี หรือพระป่าสายอาจารย์มั่น และอาจารย์ฝั้น ซึ่งชาวพุทธศรัทธาเลื่อมใส อีกทั้งหลวงปู่แสงเองก็เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบเยี่ยงบูรพาจารย์สายพระป่ามาตลอด ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย
แต่ในปัจจุบันหลวงปู่แสงอายุ 98 ปีแล้ว และยังอาพาธด้วยโรคความจำเสื่อม อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ โดยมีพระลูกศิษย์คอยปรนนิบัติ และในช่วงที่ท่านป่วยนี้เองได้มีการอุปโลกน์ให้หลวงปู่แสงเป็นผู้มีอิทธิปาฏิหาริย์ในด้านต่างๆ โดยเฉพาะในด้านการรักษาโรคมะเร็ง โดยการจับต้องผู้ป่วย และปัดเป่า โดยที่หลวงปู่ไม่รู้ ไม่เห็นด้วย แต่ได้ทำไปด้วยเมตตาในภาวะที่หลงลืม เนื่องจากอาการป่วยจากการอุปโลกน์ข้างต้น ได้กลายเป็นข้ออ้างให้หมอปลา และทีมงานฉวยโอกาสเข้ามาตรวจสอบ
2. แต่การตรวจสอบของหมอปลา และทีมงานมีเลศนัย มีการจัดฉากโดยให้นักข่าวผู้หญิงปลอมเป็นคนป่วยเข้าไปเพื่อให้หลวงปู่แสงรักษา เพื่อสร้างหลักฐานปรักปรำหลวงปู่ในข้อหาลวนลามสีกา
แต่เป็นที่น่าสลดหดหู่ใจ เมื่อได้เห็นกิริยาท่าทางและการพูดจาในเชิงขู่เข็ญบังคับให้หลวงปู่ยอมรับผิดของหมอปลา และทีมงาน ไม่เคารพต่อสถานที่และบุคคล ซึ่งชาวพุทธนับถือเห็นแล้ว ได้ฟังแล้วยอมรับไม่ได้
ด้วยเหตุปัจจัย 2 ประการข้างต้นนี้เอง ทำให้กระแสสังคมตีกลับ แทนที่ยกย่องหมอปลา และทีมงาน เฉกเช่นกรณีก่อนๆ ที่หมอปลาเคยดำเนินการ กลับกลายมาเป็นตำหนิติเตียน และประณามการกระทำของหมอปลา และทีมงานค่อนข้างรุนแรง พร้อมทั้งเรียกร้องให้ผู้กระทำต่อหลวงปู่แสงขอขมา
ต่อมาผู้ที่ร่วมงานกับหมอปลาได้ทยอยกันออกมาขอขมาหลวงปู่แสง และในที่สุดหมอปลาก็ได้ทำพิธีขอขมาต่อหน้ารูปของหลวงปู่แสงที่บ้านของตนเอง
ถึงแม้ผู้กระทำผิดได้ขอขมาต่อหลวงปู่แสง และหลวงปู่แสงให้อภัยแล้ว ผู้เขียนเชื่อว่าเรื่องนี้คงจะไม่จบลงเพียงแค่ขอขมา ทั้งนี้อนุมานจากเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. การกระทำของหมอปลา และทีมงานในครั้งนี้ ได้ตกเป็นจำเลย 3 ด้านคือ
1.1 จำเลยสังคม เนื่องจากได้กระทำผิดต่อผู้ที่ผู้คนในสังคมเคารพนับถือ ดังนั้น การต่อต้านจึงรุนแรง และเป็นวงกว้าง ถึงแม้จะมีการขอขมาแล้ว หลวงปู่แสงให้อภัยแล้ว แต่บรรดาลูกศิษย์ของหลวงปู่คงไม่ยอมจบง่ายๆ โดยเฉพาะกับผู้ที่จำใจต้องขอขมา เพราะสังคมกดดันมิใช่เกิดจากความสำนึกผิด
1.2. จำเลยทางกฎหมาย ซึ่งเข้าข่ายกระทำความผิดในข้อหาบุกรุก ตามกฎหมายอาญา มาตรา 92 พูดจาบังคับขู่เข็ญทำร้ายจิตใจ ล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ตามกฎหมายอาญา มาตรา 309 และดูหมิ่นสงฆ์ ตาม พ.ร.บ.สงฆ์มาตรา 44 ซึ่งเป็นอาญาแบบยินยอมความไม่ได้
ดังนั้น ถ้ามีผู้ฟ้องร้องก็จะต้องตกเป็นผู้ต้องหา และเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ส่วนจะมีความผิดข้อใดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล
1.3 จำเลยตามกฎแห่งกรรมข้อนี้ค่อนข้างแน่นอนว่า จะต้องรับผลกรรมและต้องเป็นครุกรรม เนื่องจากกระทำต่อผู้มีศีล ส่วนว่าจะช้าหรือเร็ว และในรูปแบบใด จะต้องคอยดูกันต่อไป
2. กรณีของหมอปลา ซึ่งกระทำต่อหลวงปู่แสง ไม่ควรจะจบลงเพียงผู้กระทำผิดได้รับโทษ แต่ควรจะได้นำมาเป็นกรณีศึกษาเพื่อป้องกันมิให้เรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นอีก และผู้ที่จะต้องดำเนินการเรื่องนี้คือ เถรสมาคม และรัฐบาลจะต้องร่วมกันหาทางแก้ไขและป้องกัน
จะต้องยกเครื่องสำนักพุทธฯ ใหม่ ไม่ควรปล่อยทำงานแบบตั้งรับรอให้คนมาแจ้งหรือเกิดเรื่องแล้วค่อยเข้ามาดำเนินการ แต่จะต้องทำงานเชิงรุก โดยการลงพื้นที่ตรวจสอบวัดในพื้นที่รับผิดชอบในระดับจังหวัด อำเภอ และตำบลเป็นระยะๆ แล้วรายงานเข้าส่วนกลางเพื่อให้ส่วนกลางรายงานต่อเถรสมาคม