หลังจากรีๆ รอๆ กว่าหนึ่งเดือนและโยนหินถามทางทดสอบปฏิกิริยาของชาติต่างๆ ในยุโรป ในที่สุดรัฐบาลฟินแลนด์และสวีเดนได้ตัดสินใจเข้าร่วมกับกลุ่มนาโตโดยไม่สนใจคำเตือนจากผู้นำรัสเซียว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นการตัดสินใจผิดพลาด
ประธานาธิบดีเซาลี นีนิสเตอ และนายกรัฐมนตรีซานนา มาริน ของฟินแลนด์ยืนคู่กันประกาศเจตนาที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มนาโต โดยอ้างว่าการตัดสินใจเกิดขึ้นหลังจากประเมินสถานการณ์ซึ่งรัสเซียปฏิบัติการพิเศษทางทหารในยูเครน
การตัดสินใจเข้าร่วมกับกลุ่มนาโตถือว่าเป็นแนวทางใหม่หลังจากที่ฟินแลนด์และสวีเดนได้ดำรงสภาวะความเป็นกลางมาตลอดหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และผ่านหลายทศวรรษของสงครามเย็นโดยฟินแลนด์ไม่ได้มีภัยคุกคามจากรัสเซีย ทั้งๆ ที่ 2 ประเทศมีพรมแดนติดต่อกันกว่า 1,300 กิโลเมตร
คำประกาศของฟินแลนด์ก่อนทำให้สวีเดนตัดสินใจเดินตามแนวทางเดียวกันแม้จะมีประชาชนเดินขบวนประท้วงต่อต้านการเข้าร่วมกับกลุ่มนาโต ถ้าเป็นผลสำเร็จจริงเท่ากับว่านาโตจะมีสมาชิกเพิ่มอีก 2 ประเทศเป็น 32
จากนี้ไปต้องดูว่ารัฐบาลฟินแลนด์และสวีเดนจะสามารถผ่านพิธีกรรมและกฎหมายต่างๆ ผ่านการอนุมัติของรัฐสภา และการยอมรับของสมาชิกนาโตทั้ง 30 ประเทศ หรือไม่เพราะจะต้องมีมติเป็นเอกฉันท์ในกลุ่มสมาชิกทั้งหมด
อาจจะไม่ง่ายนักสำหรับฟินแลนด์และสวีเดนที่จะเข้าเป็นสมาชิกนาโต ผู้นำตุรกีประธานาธิบดีเออร์โดอัน แสดงความไม่เห็นด้วยเพราะมองว่าทั้งฟินแลนด์และสวีเดนเป็นที่พักพิงขององค์การก่อการร้ายกลุ่มชาวเคิร์ดซึ่งได้ทำสงครามและรณรงค์ทางการเมืองเพื่อตั้งรัฐเคอร์ดิสถานบนพรมแดนระหว่างตุรกี ซีเรีย และอิรัก
ผู้นำตุรกีอ้างว่ารัฐบาลสวีเดนและฟินแลนด์ยอมให้กลุ่มพรรคการเมืองของเคอร์ดิชใช้เป็นฐานปฏิบัติงานระดมทุนทางการเมืองเพื่อแบ่งแยกดินแดน ประเด็นนี้อาจจะเป็นผลให้เกิดความล่าช้าหรือข้อต่อรองระหว่างตุรกีกับฟินแลนด์และสวีเดน
คำประกาศของรัฐบาลฟินแลนด์และสวีเดนได้รับการชื่นชมจากรัฐบาลยุโรปตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา และอังกฤษ รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ นางลิซ ทรัสส์ กล่าวว่านี่จะเข้าแผนนาโตทั้งโลก เสริมแผนอินโด-แปซิฟิก ยูโร-แอตแลนติก
ทั้งสองแผนจะทำให้เกิดความสมบูรณ์แบบในการปิดล้อมรัสเซียและปิดล้อมจีนทำให้กลุ่มประเทศนาโต้นำโดยสหรัฐฯ ได้เป็นผู้นำของโลก แต่นี่จะเป็นเพียงความหวังหรือความฝันก็ขึ้นอยู่กับสภาวะความเป็นไปด้านความสัมพันธ์ในกลุ่มประเทศต่างๆ ซึ่งมีความขัดแย้งกันในหลายภูมิภาค
รัฐบาลฟินแลนด์ไม่ได้อธิบายให้ชัดเจนว่าการคุกคามของรัสเซียนั้นอยู่ในสภาวะอย่างไร ที่ผ่านมาทั้งสองประเทศไม่ได้มีความขัดแย้งด้านพรมแดน อาจจะเป็นการตัดสินใจขึ้นอยู่บนความแตกต่างกันที่ระบบการเมืองระหว่างสังคมนิยมแบบรัสเซีย และประชาธิปไตยเสรีนิยมของฝ่ายโลกตะวันตก
ที่ผ่านมาทั้งสวีเดนและฟินแลนด์ก็เป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจในประชาคมยุโรป มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ดังนั้นการตัดสินใจเข้าร่วมกับนาโตจึงทำให้เป็นทางการเท่านั้น
ก่อนหน้านี้เมื่อฟินแลนด์และสวีเดนแสดงเจตนาอยากจะเข้าร่วมกับกลุ่มนาโตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ บอริส จอห์นสัน ก็ได้รีบลงนามด้านความมั่นคงกับทั้งสองประเทศเหมือนกับเป็นตัวแทนของสหรัฐฯ นั่นเอง ซึ่งเท่ากับว่าอย่างน้อยที่สุดทั้งสวีเดนและฟินแลนด์ก็จะไม่ถูกทอดทิ้งโดยกลุ่มประเทศตะวันตก
ผลที่ตามมาคือรัสเซียได้งดส่งไฟฟ้าเข้าฟินแลนด์และเตรียมที่จะหยุดการส่งก๊าซซึ่งทางฟินแลนด์อ้างว่าไฟฟ้าจากรัสเซียเป็นเพียง 8% ของความต้องการทั้งหมด ซึ่งจะหาทางทดแทนจากด้านอื่นได้ แต่ก๊าซจะต้องพึ่งพาแหล่งอื่นเช่นนอร์เวย์
อะไรก็ไม่เท่ากับคำประกาศของฟินแลนด์ที่ว่าไม่หวั่นแสนยานุภาพของรัสเซีย และพร้อมจะเผชิญกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น
สภาวะที่จะเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เกิดความตึงเครียดขึ้นใหม่อีกจุดหนึ่งเพราะเท่ากับว่าพรมแดนของนาโตได้เข้าประชิดรัสเซียทางด้านตอนเหนือ เป็นที่คาดหมายได้ว่ารัสเซียจะต้องใช้มาตรการป้องปรามอย่างเร่งด่วนเพื่อไม่ให้ฝ่ายโลกตะวันตกใช้พื้นที่ของฟินแลนด์เป็นฐานที่ตั้งขีปนาวุธหรืออาวุธร้ายแรงซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อรัสเซีย
ขณะเดียวกันรัสเซียสามารถเพิ่มมาตรการป้องกันตัวเองด้วยการติดตั้งขีปนาวุธในคาลินินกราดซึ่งเป็นพื้นที่นอกแผ่นดินใหญ่ของโซเวียตอยู่บนฝั่งทะเลบอลติก ซึ่งจะทำให้รับสถานการณ์รวมทั้งการโจมตีจากกลุ่มนาโต เท่ากับว่าจะมีจุดเปราะบางด้านตอนเหนือของยุโรปนอกเหนือจากยูเครน
อีกด้านหนึ่ง สหรัฐฯ ได้ประกาศเพิ่มและสับเปลี่ยนกำลังทหารในยุโรปซึ่งมีกำลังพลรวม 1 แสน และเป็นหลักประกันความมั่นคงของกลุ่มนาโตและยังได้ประกาศจัดงบประมาณ 4 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อช่วยเหลือยูเครน
จากนี้ไปต้องดูว่าสถานการณ์จะร้อนระอุกว่าเดิมแค่ไหนเมื่อการเผชิญหน้าโดยตรงระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เจตนาของประธานาธิบดีโจ ไบเดนก็คือต้องการทำให้รัสเซียอ่อนแอทุกด้านโดยเฉพาะแสนยานุภาพด้านการทหาร
โลกจะเป็นอย่างไรในภาวะของการเผชิญหน้าระหว่างชาติมหาอำนาจทั้งในยุโรปและในเอเชียนอกเหนือจากความเดือดร้อนของประชาชนจากวิกฤตเศรษฐกิจที่ลามไปทั่วโลก และการขาดแคลนอาหาร จากสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน