เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องย้อนกลับมาดูอะไรต่อมิอะไรแถวๆ เอเชียบ้านเฮาเอาไว้ก่อนล่วงหน้านั่นแหละทั่น!!! ถึงแม้ว่าแถวๆ ยุโรป เขายังคงบึ้มไป-บึ้มมา ยังหาจุดจบ จุดลงตัว ในกรณี “วิกฤตยูเครน” ยังคงไม่แล้วเสร็จ หรืออาจร้อนฉ่า ลุกลาม ไปกว่าเท่าที่เป็นอยู่ก็ตามที แต่จากอากัปกิริยาจากลักษณะท่าทีของ “ประมุขโลก”อย่างคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรตะวันตกในช่วงระหว่างนี้ ต้องเรียกว่า...ออกจะกระเหี้ยนกระหือรืออย่างเห็นได้ชัดเจน ในการมุ่งตรงมายังภูมิภาคเอเชีย หรือมายังอาณาบริเวณ “อินโด-แปซิฟิก” อย่างเป็นระบบและเป็นกิจการเอาเลยทีเดียว...
คือไม่ใช่แค่พยายามเคี่ยวเข็ญ เชื้อเชิญให้ผู้นำชาติอาเซียน 5 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทยแลนด์ แดนสยามของเราด้วย เดินทางไปเยือนอเมริกา ไปพบปะผู้นำอเมริกันอย่างเป็นทางการ ในช่วงวันที่ 12-13 พ.ค.นี้ โดยหวังจะให้ “เก็บสบู่” จนอาจทวารบาน หรือก่อให้เกิดริดสีดวงกำเริบกันไปข้าง หรือจะด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...คงไม่อยากให้ผู้นำชาติอาเซียนรายใด สนิทชิดเชื้อกับ “มหาอำนาจคู่แข่ง”อย่างคุณพี่จีนจนเกินไป แต่ในช่วงวันที่ 21-24 พ.ค.นี้ ผู้นำอเมริกันอย่าง “ผู้เฒ่าโจ ซึมเซา”ท่านยังพร้อมฉีดสเตียรอยด์ เพื่อให้เกิดเรี่ยวแรง เกิดกำลังวังชา พอที่จะเดินทางมาเยือนประเทศในเอเชียมาประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศพันธมิตร “Quad”ที่เอาไว้หน่วงเหนี่ยว ถ่วงรั้ง พญามังกรจีนกันโดยเฉพาะอีกด้วย...
และการแสดงความกระเหี้ยนกระหือรือของ “ผู้เฒ่าโจ” คราวนี้...ดูจะได้รับการ “ตอบสนอง” มิใช่น้อย จากบรรดาชาติเอเชียบางประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเกาหลีใต้ หรือญี่ปุ่น ที่ถือเป็นพันธมิตรหลักของคุณพ่ออเมริกาในภูมิภาคแห่งนี้ คือแม้เกาหลีใต้ในยุคของท่านประธานาธิบดี “มูน แจ-อิน”(Moon Jae-in) อาจออกไปทาง “สายกลาง”ไม่พยายาม “สุดโต่ง” ไปในด้านหนึ่ง ด้านใด ไม่ได้ก่อให้เกิดความตึงเครียด หรือบรรยากาศแห่งการเผชิญหน้า ไม่ว่ากับเกาหลีเหนือหรือกับคุณพี่จีนมากมายสักเท่าไหร่ แต่ด้วยเหตุเพราะพรรค “DPK” (Democratic Party of Korea) ดันไปแพ้เลือกตั้งประธานาธิบดีให้กับพรรค “PPP” (People Power Party) ของว่าที่ประธานาธิบดี “ยุน ซุกยอล” (Yoon Suk-yeol) ด้วยเหตุผลกลใดก็ลองไปหาข้อสรุปเอาเองก็แล้วกัน แต่ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ เลยทำให้คาบสมุทรเกาหลี ทำท่าว่าอาจพลิกจาก “หน้ามือเป็นหลังตีน” เอาง่ายๆ...
เรียกว่า...ขนาดยังไม่ทันได้รับตำแหน่ง ได้เข้าพิธีสาบานตัวเป็นประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ ในวันอังคาร (10 พ.ค.) นี้ ถ้าว่ากันตามรายงานของสำนักข่าว “Yonhap”นอกจากว่าที่ประธานาธิบดีรายนี้ท่านพร้อมจะโดดเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับกลุ่มประเทศ “Quad” แล้ว ท่านยังได้ป่าวประกาศเมื่อช่วงวันพฤหัสบดี (5 พ.ค.)ที่ผ่านมา ว่าหน่วยข่าวกรองของเกาหลีใต้พร้อมที่จะร่วมมือกับหน่วยป้องกันด้านไซเบอร์ของ “นาโต” หรือ “NATO Cooperative Cyber Defense Center”อันจะทำให้เกาหลีใต้ มีสถานะไม่ต่างไปจากกลุ่มประเทศ “Five Eyes” อันประกอบไปด้วยอเมริกา อังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ หรือพูดง่ายๆ ว่า...ท่านพร้อมที่จะโดดจูบปาก หรือเก็บสบู่ให้กับคุณพ่ออเมริกาแบบเต็มสูบ เต็มด้าม เอาเลยก็ว่าได้ ด้วยเหตุนี้...จึงถือเป็นเรื่องไม่แปลก ที่ผู้นำเกาหลีเหนือ อย่างคุณพี่ “คิม จอง-อึน” (Kim Jong-un) ท่านเลยต้องเปิดฉากทดสอบอาวุธนิวเคลียร์เป็นครั้งที่ 7 หรือครั้งแรกในรอบ 5 ปี ไปเมื่อช่วงวันเสาร์ (7 พ.ค.) ที่ผ่านมา หรือก่อนหน้าวันสาบานตนของประธานาธิบดีคนใหม่แค่ 3 วันเท่านั้น คาบสมุทรเกาหลีจึงชักเริ่มทำท่าร้อนฉ่าและร้อนแรง ขึ้นมาอีกครั้ง...
ส่วนคุณพี่ญี่ปุ่น-ยุ่นปี่นั้น...นับตั้งแต่เกิด “วิกฤตยูเครน” ขึ้นมาแล้ว คงต้องยอมรับว่านับวันท่านชักจะแดง หรือชักจะแรงยิ่งเข้าไปทุกที โดยเฉพาะในการ “เดินสาย” เกลี้ยกล่อม โน้มน้าว ชักชวนใครต่อใครให้หันมาปฏิเสธและต่อต้าน 2 มหาอำนาจคู่แข่งของคุณพ่ออเมริกาอย่างรัสเซียและจีน อย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการ ไม่เพียงแต่ตัวนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น “นายฟูมิโอะ คิชิดะ”(Fumio Kishida)ที่ออกเดินสายเยือน 5 ประเทศในเอเชีย รวมทั้งการอุตส่าห์ถ่อมาจับเข่า จับหัวหน่าว ท่านนายกฯ “บิ๊กตู่” ของหมู่เฮาในช่วงวาระความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่นครบรอบ 135 ปี แถมยังให้เงินกู้ดอกเบี้ยถูกอีกถึง 50,000 ล้านบาทซะอีกด้วย ก่อนที่จะบินไปเจอกับนายกรัฐมนตรีหัวกระเซิงของอังกฤษ “นายบอริส จอห์นสัน” เพื่อลงนามในข้อตกลงความร่วมมือทางทหารระหว่างกองกำลังป้องกันตัวเองญี่ปุ่น (Japanese Self-Defense Force) กับกองทัพอังกฤษ อันเป็นความร่วมมือที่ได้รับการอธิบายภายใต้เนื้อหาของแถลงการณ์ร่วม ที่ระบุไว้ว่า... “เป็นการสร้างหมุดหมายแห่งความเป็นหุ้นส่วนด้านความมั่นคง รวมทั้งเป็นการยกระดับพันธสัญญาของอังกฤษที่มีต่อภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก”...
หรือพูดง่ายๆ ก็คือ...เป็นการร่วมมือเพื่อต่อต้านจีนกันโดยเฉพาะนั่นเอง เพราะโดยคำพูด คำจา ของท่านนายกฯ “คิชิดะ” ที่นอกจากจะพยายามกระตุ้นให้บรรดาประเทศรวยๆ อย่างกลุ่มประเทศ “G-7” สร้างความเป็นเอกภาพให้แน่นเหนียวเข้าไว้ท่านยังสรุปเอาไว้ด้วยว่า “เพราะยูเครนวันนี้...อาจกลายเป็นเอเชียตะวันออกในวันพรุ่งนี้” ด้วยเหตุนี้เลยต้องไปลากเอาผู้ดีอังกฤษให้เข้ามายุ่มย่าม ยั้วะเยี้ย ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ขณะที่รัฐมนตรีกลาโหมญี่ปุ่น “นายโนบุโอะ คิชิ” (Nobuo Kishi) ออกเดินสายไปพบปะกับรัฐมนตรีกลาโหมผิวสีอเมริกา “พลเอกลอยด์ ออสติน” (Lloyd Austin) เมื่อช่วงวันพุธ (4 พ.ค.) ที่ผ่านมา โดยต่างฝ่ายต่างมุ่งหวังที่จะยกระดับความเป็นพันธมิตรในด้านความมั่นคง และต่างฝ่ายต่างเห็นพ้องต้องกันถึง “ภัยคุกคาม”อันที่มาจากรัสเซีย จีน และเกาหลีเหนือ...
ความกระตือรือร้นและกระเหี้ยนกระหือรืออย่างออกหน้า ออกตา ของคุณพี่ญี่ปุ่น-ยุ่นปี่ในคราวนี้...จึงถูกวิเคราะห์และประเมินเอาไว้โดยผู้เชี่ยวชาญด้านกิจการเอเชียตะวันออก แห่งมหาวิทยาลัย “Tsinghua University”ณ กรุงปักกิ่ง อย่าง “นายLiu Jiangyong”ชนิดน่าคิด น่าสะกิดใจมิใช่น้อย โดยเฉพาะที่ระบุเอาไว้ว่า... “ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าความคาดหมายของเราอาจผิดพลาดไป เพราะญี่ปุ่นไม่ได้แค่ต้องยอมทำตามสหรัฐฯ ในการต่อต้านจีนแต่เพียงเท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว...ญี่ปุ่นพยายามอาศัยความแตกต่างระหว่างปักกิ่งกับวอชิงตัน ที่จะยกระดับอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ของตัวเองและมุ่งไปสู่การฟื้นอำนาจทางทหารขึ้นมาใหม่...”หรือ “ญี่ปุ่นหวังที่จะให้สหรัฐฯ เป็นผู้ปลดโซ่ตรวนแห่งรัฐธรรมนูญ ที่เคยควบคุมญี่ปุ่นเอาไว้นับจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา” นั่นเอง...
นี่...จริง-ไม่จริง ก็ลองไปนั่งคิด-นอนคิดเอาเองก็แล้วกัน แต่อาการกระเหี้ยนกระหือรือของซามูไรรายนี้ นับจากวิกฤตยูเครนเป็นต้นมา ก็ออกจะเป็นอะไรที่สอดคล้อง รองรับกับข้อวิเคราะห์และข้อเสนอแนะของพวกนักคิดในกลุ่ม “Think-Tank” แห่งบริษัท “Rand Corporation” ผู้เป็นที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การทหารของคุณพ่ออเมริกามาตั้งแต่อ้อนแต่ออก อย่าง “นายJeffrey W. Hornung”ที่ได้สรุปถึงความเป็นไปได้ ในการจัดวาง “ขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง”(INF) เอาไว้ในพื้นที่ต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียเพื่อรับมือกับจีนโดยเฉพาะ โดยไล่มาตั้งแต่ประเทศไทย ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ในเอกสารที่ได้รับการเผยแพร่เมื่อช่วงวันจันทร์ (2 พ.ค.) ที่ผ่านมา คือนอกจากจะระบุว่านับตั้งแต่เกิด “รัฐบาลทหาร”ขึ้นในประเทศไทย การเพิ่มความโน้มเอียงไปทางจีนทำให้ออกจะลำบากพอสมควร ในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ส่วนฟิลิปปินส์ผู้นำอย่างประธานาธิบดี “ดูเตอร์เต”ก็ไม่น่าจะเอาด้วย ขณะที่ออสเตรเลียแม้เป็นพันธมิตร “AUKUS” ก็ตาม แต่ก็ออกจะอีหลักอีเหลื่อต่อการมีฐานทัพถาวรอยู่ภายในประเทศ ขณะเกาหลีใต้ที่เคยปฏิเสธกระทั่งจรวดป้องกันภัยทางอากาศหรือ “THADD” มาแล้ว ด้วยสัมพันธภาพที่ยังคงใกล้ชิดติดพันกับจีน ย่อมก่อให้เกิดความลำบากไม่มาก-ก็น้อย ดังนั้น...สิ่งที่นักคิดแห่งบริษัท “Rand”เห็นว่าน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด ก็คือการเปิดช่อง เปิดโอกาส ให้กับซามูไรญี่ปุ่น ในการพัฒนาขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลางขึ้นมาด้วยตัวเอง เพื่อรับมือกับเรือรบจีนได้อย่างสมน้ำ-สมเนื้อ!!!
สรุปเอาเป็นว่า...ไม่ว่าคุณพ่ออเมริกาท่านจะคิดเห็นเป็นประการใด ญี่ปุ่น เกาหลีใต้จะคิดยังไง หรือแม้แต่ประเทศไทยแลนด์ แดนสยามของหมู่เฮา จะคิดยังไง จะยอม “เก็บสบู่” หรือกำลังคิดจะลื่นไถลแบบครั้ง “ญี่ปุ่นแพ้-ไทยไม่แพ้”ก็แล้วแต่ แต่โดย “ภาพรวม” ของฉากสถานการณ์ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรืออินโด-แปซิฟิกในทุกวันนี้ น่าจะดุเดือดเลือดพล่านยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนอาจหา “พื้นที่เป็นกลาง” แทบไม่เจอเอาเลยก็ว่าได้....