หลังจากแกนนำรุ่นใหม่ห้าวๆ หลายคนอย่างเพนกวิน รุ้ง ไมค์ ฯลฯ ติดเงื่อนไขที่ศาลให้ประกันตัว ก็มีการผลักดันให้รุ่นใหม่ที่มีอายุน้อยกว่าออกมาเคลื่อนไหวอย่างสายน้ำ ตะวัน เมนู ใบปอ บุ้ง และพลอย ฯลฯ ในฐานะกลุ่มทะลุวัง และล่าสุดศาลสั่งถอนประกันใบปอและบุ้งหลังทำผิดซ้ำผิดเงื่อนไขที่ศาลเคยให้ประกันไป ก็เกิดขบวนการโจมตีว่า ศาลสั่งขังเด็กที่เป็นอนาคตของชาติ
และเมื่อไม่กี่วันก่อน ศาลไม่ให้ประกันตัวเกท -โสภณ นักศึกษาภาควิชาเทคนิครังสี คณะแพทยศาสตร์ วชิรพยาบาล ทันทีที่เกทถูกจับก็เกิดการปั่นกระแสว่า ศาลสั่งจำคุกนักศึกษาแพทย์ที่เป็นอนาคตของชาติ
ทั้งที่โดยบรรทัดฐานของกฎหมายแล้ว เราไม่สามารถบอกได้ว่า เด็กที่มีการศึกษาดีมีอนาคตที่ดีนั้นจะสามารถกระทำความผิดโดยจะต้องไม่ถูกจับกุมคุมขังได้ ส่วนเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเขาก็มีลำดับชั้นของศาลมีลำดับโทษในการดำเนินการอยู่แล้ว แต่ต้องดูที่การกระทำ เจตนาที่แสดงออกไม่ใช่ดูว่าเด็กเหล่านั้นกำลังเรียนอะไรและใฝ่ฝันจะเป็นอะไร ถ้าเป็นเช่นนั้นเราจะหาบรรทัดฐานและความเท่าเทียมที่เรียกร้องได้อย่างไร
โดยเฉพาะเด็กกลุ่มทะลุวังที่ออกไปทำโพลนั้น เราเห็นชัดเจนถึงเจตนาของพวกเขาว่ามีจุดมุ่งหมายอย่างไร เมื่อเจตนามันชัดขนาดนั้น เช่นถามว่า เห็นด้วยหรือไม่ที่รัฐบาลให้กษัตริย์ใช้อำนาจตามพระราชอัธยาศัย คำถามนี้มันเป็นคำถามชี้นำที่ต้องการบอกว่า ปัจจุบันนั้นพระมหากษัตริย์ใช้อำนาจตามพระราชอัธยาศัย ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็ทำให้เกิดคำถามได้ว่าถูกต้องหรือไม่ แต่จริงๆ แล้วพระมหากษัตริย์กระทำเช่นนั้นจริงๆ หรือ
รวมถึงเจตนาจะไปก่อกวนเมื่อมีขบวนเสด็จนั้น มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า มีจุดมุ่งหมายอย่างไร แต่เมื่อถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าดำเนินการจับกุมจะไปอ้างว่าจะไปรับเสด็จมันไม่ฝืนมโนสำนึกและจิตใต้สำนึกของตัวเองไปหน่อยหรือ
และต้องยอมรับว่า ทุกวันนี้เด็กกลุ่มนี้ได้ใช้ถ้อยคำที่กล่าวถึงองค์พระมหากษัตริย์ ราชวงศ์ และสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงและห้าวหาญขึ้นเรื่อยๆ แบบที่อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พยายามอธิบายว่า วัฒนธรรมและการสื่อสารของคนรุ่นใหม่ เขาเติบโตมาในยุคที่การสื่อสารมันแรง เพราะถ้าไม่แรงก็ไม่ได้รับความสนใจ
“คนรุ่นก่อนก็เลยมองว่าก้าวร้าว หยาบคาย มองว่าไม่มีเหตุผลแต่ความจริงแล้ว ถ้ามีโอกาสแลกเปลี่ยนกันอย่างจริงจัง จะรู้ว่ามีสาระที่จะต้องอธิบาย มีเรื่องเหตุและผล” วันนี้อภิสิทธิ์พูดอย่างนี้ อาจเป็นเพราะเขามีหลานชายอย่างพริษฐ์ วัชรสินธุ ที่ประกาศตัวเข้าร่วมกับพรรคก้าวไกลที่มีจุดมุ่งหมายสนับสนุนการเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์บนถนนนั่นเอง
ความจริงแล้วตั้งแต่แกนนำรุ่นเพนกวิน และรุ้งแล้วที่ผู้ใหญ่หลายคนผลักดันให้คนเหล่านี้ออกมาต่อสู้ จนมีคดีคนละหลายคดี และมีแนวโน้มสูงมากถ้าพิจารณาจากการแสดงออกและคำพูดของพวกเขาต่อฐานความผิดตามมาตรา 112 แล้ว จะเห็นว่า เป็นเรื่องยากมากที่จะหลุดพ้นจากความผิดไปได้
แต่เมื่อโดนคดีในระยะแรกๆ แทนที่ผู้ใหญ่ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจตัวบทกฎหมายมากกว่าจะช่วยกันยับยั้งหรือเสนอแนะวิธีการที่จะวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่ฝ่าฝืนกฎหมาย กลับพบว่า ผู้ใหญ่เหล่านั้นต่างพากันชื่นชมคนรุ่นใหม่เหล่านี้ให้ทะลุทะลวงไปเรื่อยๆ
และเมื่อมาถึงเด็กรุ่นทะลุวังที่เพิ่งจบมัธยมกระทำการที่ท้าทายต่อความผิดทางกฎหมาย ทำไมผู้ใหญ่หลายคนที่หนุนหลังเด็กจะไม่รู้ล่ะว่า การกระทำแบบนี้สุ่มเสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดี จึงไม่มีใครห้ามปรามเด็ก แต่ยุยงส่งเสริม เพื่อว่าเมื่อเด็กเหล่านั้นถูกจับกุมดำเนินคดีจะได้ออกมาร้องแรกแหกกระเชอกล่าวหาว่ารัฐดำเนินคดีกับเด็ก เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐต่อสากล แต่ไม่สนใจเลยว่าสุดท้ายแล้วเด็กเหล่านั้นจะต่อสู้คดีอย่างไร แม้ว่าจะมีทนายของฝ่ายเดียวกันคอยช่วยเหลือ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเด็กเหล่านั้นก็จะโดดเดี่ยวอยู่หน้าบัลลังก์
ผมเคยเป็นคนหนุ่มสาวมาก่อน ผู้ใหญ่ทุกคนในวันนี้ล้วนแต่เคยผ่านการเป็นคนหนุ่มสาวมาก่อน คนหนุ่มสาวล้วนแต่มีความคิดที่พลุ่งพล่านตั้งคำถามกับสังคมและทุกสิ่งที่พบเห็นเพราะเป็นวัยแสวงหา แต่ผู้ใหญ่ที่ดันหลังให้เด็กไปเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางต้องมีสติยั้งคิดและติติงฉุดรั้งพวกเขาไม่ให้เดินไปสู่หุบเหว
คนหนุ่มสาวมีความกล้าหาญและเร่าร้อนเสมอ เป็นวัยของความคิดกบฏ เพราะถ้าไม่กบฏก็ไม่ใช่คนหนุ่มสาว แต่เขาบอกว่าถ้าแก่แล้วยังเป็นกบฏก็เป็นพวกที่ไม่มีสติ เหมือนที่เขาบอกว่า “หนุ่มสาวไม่เป็นกบฏก็ไม่มีหัวใจ คนสูงอายุเป็นกบฏก็ไม่มีสมอง” (คำของเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์)
แต่แทนที่ผู้ใหญ่จะใช้สติและการผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากกว่า พวกผู้ใหญ่เหล่านั้นกลับหลอกใช้ความเร่าร้อนของหนุ่มสาวเป็นเครื่องมือ เพราะหลายสิ่งที่คนหนุ่มสาวแสดงออกมานั้นพวกผู้ใหญ่เองก็ไม่กล้ากระทำ เพราะรู้ว่าเป็นความผิดตามกฎหมาย แต่พวกนี้คอยชื่นชมและให้ท้ายเพื่อให้คนหนุ่มสาวเดินหน้าต่อไปไม่ลดละ แม้จะอยู่ในคุกในตะรางก็ตาม
วันนี้ผู้ใหญ่บางคนหนีไปอยู่ต่างประเทศแล้ว บางคนทำลับๆ ล่อๆ อยู่ข้างหลัง ซ่อนอยู่ใต้ชายกระโปรงของเด็กที่ยังเป็นผู้เยาว์
ผู้ใหญ่หลายคนหรือคนอย่างสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจจะมีความสุขที่วันนี้สามารถผลักดันแนวคิดลดทอนบทบาทและสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์เรียบร้อยแล้ว แถมเด็กหลายคนแสดงออกถึงความมุ่งหมายที่ไปไกลกว่านั้น
หรือแม้จะบอกว่าเด็กมีความคิดของตัวเอง และแสดงออกด้วยตัวเองไม่มีใครไปชี้แนะก็อาจจะพูดได้ แต่ถามว่า ถ้าเห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของเด็กเหล่านี้ ควรจะชี้แนะแนวทางการต่อสู้ของพวกเขาหรือว่าปล่อยให้เขาแสดงอารมณ์ตามช่วงวัยโดยไม่สนใจข้อจำกัดของกฎหมาย ไปเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางเอาเอง เพื่อชื่นชมว่าเด็กเหล่านี้มีความกล้าหาญเพื่อให้พวกเขายิ่งฮึกเหิมที่ได้รับคำชมและการดันหลังจากผู้ใหญ่ที่ซุกตัวอยู่ข้างหลัง
หรือผู้ใหญ่เหล่านั้นรอวันให้เด็กๆ เหล่านี้ถูกศาลจำคุก เพื่อว่าจะได้เป็นเงื่อนไขของการลุกฮือ แต่ถามว่า ทำไมถึงไม่ผลักดันให้ลูกหลานของตัวเองออกมาทำ ทำไมไม่กระทำอย่างที่ยุยงหรือกระทำอย่างที่สนับสนุนให้เด็กกระทำเสียเอง
ผมชื่นชมแขก คำผกา หรือลักขณา ปันวิชัย ที่เธอออกมายอมรับว่า เมื่อตัวเองไม่กล้าที่จะเอาตัวไปเสี่ยงคุกก็ไม่ยุให้เด็กๆ ออกไปสู้
“แขกไม่แตะเรื่องนี้ เพราะตัวเองยังขี้ขลาด ดังนั้น จึงขอเลือกหนทางที่ไม่แหลมคม เด็กๆ ออกไปสู้ เขาก็รู้ว่า cost ของมันคืออะไร เราเคารพการตัดสินของเขา ทว่า ตราบใดที่เราออกไปติดคุกกับเขาไม่ได้ เราจะไม่บอกว่าเรา ‘เอา’ ทางนี้เชียร์อยู่ในห้องแอร์น่ะ ใครๆ ก็ทำได้ ทางนี้ยืนยันว่า ‘กูกลัว’ ค่ะ”
ถามผู้ใหญ่ที่ซ่อนอยู่หลังเด็กถ้าเห็นว่าสิ่งที่เด็กเหล่านั้นกระทำอยู่ถูกต้อง ทำไมไม่ออกมาทำเสียเอง หรือว่าแท้จริงแล้วเพราะ “กูกลัว” อย่างที่คำผกาว่า
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan