xs
xsm
sm
md
lg

วาสนา ‘ลุงป้อม’ ถึงนายกฯ?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: โสภณ องค์การณ์



มีเสียงพูดกันหนาหูในวงการเมืองเรื่อง “นายกฯ สำรอง” หรือนายกฯ ขัดตาทัพ โดยมีลุงป้อมเป็นตัวเอกในการที่จะให้ลุงห้าวเป้งกลายสภาพเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีให้ได้ ทำให้มีเสียงพูดเป็นวงกว้าง สู่วงการธุรกิจและอื่นๆ ซึ่งเอือมระอากับสภาวะตายซากด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ บ้านเมืองไร้ทางออก

ดูเหมือนจะเป็นขบวนการปั่นข่าวอย่างแรงทั้งฝ่ายค้านและซีกรัฐบาล ซึ่งอาจมองว่าลุงห้าวเป้งนั้นเป็นเหมือนยาหมดอายุ ทำอะไรก็ไม่ได้ ยิ่งปล่อยให้ยื้อนานต่อไปจะทำให้ปัญหาที่สุมรุมเร้าประเทศทุกวันนี้ยากต่อการแก้ไข

ลุงป้อมก็ไม่ปฏิเสธว่าอยากจะเป็นนายกฯ สำรอง คงมองว่าตัวเองไม่มีอะไรเสียหาย ที่ผ่านมานั้นน่าจะมีสิทธิ์ในการเป็นนายกฯ ด้วยซ้ำ ที่ผ่านมาก็รับบทเป็นฐานค้ำอำนาจให้ลุงห้าวเป้ง ผลตอบแทนไม่ได้มากอย่างที่ควรจะเป็น หรืออย่างที่เคยได้

ลุงป้อมจะฮึดยึดตำแหน่งผู้นำประเทศหรือไม่ แม้จะเป็นเพียงชั่วคราวก็ยังถือว่าเป็นเกียรติประวัติของวงศ์ตระกูล การเป็นห้างร้านนั่งให้ลุงห้าวเป้งสร้างตึกนานๆ นั้นมันไม่คุ้มกับการทุ่มเท แลกกับการยอมรับ เหมือนกินแต่น้ำใต้ศอก

คำถามก็คือ ลุงป้อมอยากเป็นนายกฯ สำรอง หรือไม่ จะมีวาสนาถึงขั้นนั้นหรือไม่ และมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด เมื่อคำนึงถึงปัจจัยแวดล้อม ข้อห้ามที่มองเห็นและมองไม่เห็น ประเด็นหลังนี่แหละจะเป็นตัวตัดสินว่าลุงป้อมจะมีวาสนาได้นั่งเก้าอี้นายกฯ หรือไม่ แม้องค์ประกอบการเมืองจากเกื้อหนุนก็ตาม

เสียงสนับสนุนให้ลุงป้อมเป็นนายกฯ ขัดตาทัพมาจากหลายฝ่ายซึ่งก็เข้าใจได้ว่าความต้องการขั้นพื้นฐานก็คือให้ลุงห้าวเป้งไปให้พ้นจากอำนาจเสียก่อน จากนั้นบ้านเมืองจะเป็นอย่างไรภายใต้ลุงป้อมก็มาช่วยกันดูแล และเชื่อว่าถึงอย่างไรคงจะไม่เลวร้ายกว่าที่เป็นอยู่ 7 ปีกว่าภายใต้ลุงห้าวเป้ง

ลุงป้อมอาจจะอ้อแอ้เอออ้า พูดไม่รู้ฟัง ในการเป็นผู้นำ แต่นั่นคงเป็นฉากหน้าเมื่อรับบทผู้นำคงไม่หัวแข็งดื้อรั้นไม่ฟังใครอย่างที่ลุงห้าวเป้งถูกมองว่ามีความลำพองในอำนาจจนไม่ฟังใคร ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา

ซ้ำร้าย ที่ผ่านมาลุงห้าวเป้งถูกมองว่าไม่ให้ความสนใจกับบรรดานักเลือกตั้ง ส.ส.เป็นฐานเสียงไม่เคยคลุกคลีตีโมงกับ ส.ส.อ้างว่าตัวเองเป็นเพียงตัวแทนของพรรคในการเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ลงทุนเสี่ยงภัยทำรัฐประหารชิงอำนาจมาแล้ว

ดูแล้วประเทศไทยน่าสงสาร ไม่มีทางเลือกจากการขมวดปมกฎหมายรัฐธรรมนูญและเงื่อนไขต่างๆ โดยเบื้องแรกคาดหวังว่ากฎเกณฑ์ที่วางไว้นั้นจะได้ผู้นำที่ใจซื่อมือสะอาดหวังดีต่อบ้านเมือง จะทำทุกอย่างเพื่อให้ประเทศก้าวหน้าปราศจากการทุจริตคอร์รัปชัน และปฏิรูปโครงสร้างทุกอย่าง แต่ไม่เป็นไปตามนั้น

ผลที่เห็นกว่า 7 ปีคือ จากหน้ามือเป็นหลังเท้าไม่มีการปฏิรูปปรับปรุงโครงสร้างประเทศอะไรทั้งสิ้นนอกจากการแสดงอำนาจ และกระชับอำนาจเพื่อให้ตัวผู้นำอยู่ได้นานที่สุด ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการบริหารงานผิดพลาด หนี้สินมหาศาล ทำให้โครงสร้างประเทศอ่อนแอลงอย่างมากจนอยู่ในขั้นเสี่ยงต่อความมั่นคง

ลุงป้อมจะเป็นนายกฯ สำรองได้หรือไม่ มีช่องทางเช่นการเร่งล้มลุงห้าวเป้งโดยไม่ผ่านกฎหมายสำคัญด้านการเงิน งบประมาณรวมทั้งการโหวตคว่ำในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งก็มีความเป็นไปได้มาก ถ้ามีปัจจัยพร้อม

ถ้าลุงป้อมต้องการล้มลุงห้าวเป้งจริงๆ เพียงแค่ส่งสัญญาณให้ลูกพรรคการเมืองไม่ยกมือหรือเสียบบัตรไว้วางใจให้ลุงห้าวเป้ง แค่นั้นก็จบ เพราะที่ผ่านมาก็ได้เห็นการหักหาญน้ำใจระหว่าง 2 คนหลายกรณีแม้จะมีการเล่นละครให้เห็นว่ายังมีความรักสมานฉัน มีแต่ความตายเท่านั้นที่จะทำให้แยกจากกัน

หรืออยู่ด้วยกันถึงขั้นที่เรียกว่า “3 ป. ฟอร์เอเวอร์” นั่นเลย

แต่ในความเป็นจริงไม่มีใครยอมเป็นเบี้ยล่างหรือเป็นไก่รองบ่อนตลอดไปอย่างเช่นลุงป้อมโดนลิดรอนอำนาจรายงานดูแลความมั่นคง ตำรวจ ทหารเหลือแต่งานที่ดูแลสิ่งแวดล้อมต้นน้ำลำธาร งานประมงเท่านั้น ทั้งยังโดนหักกรณีคนสนิทถูกปลดจากตำแหน่งรัฐมนตรีอีกด้วย

เหตุเหล่านี้ล้วนเป็นไฟสุมขอนและสุมหัวอกลุงป้อมได้ทั้งนั้น คงเห็นชัดเจนว่าถ้ายังอยู่ต่อไปอย่างนี้ลุงป้อมคงจะไร้ความหมาย ลุงห้าวเป้งแสดงเจตนาอย่างจริงจังว่าจะขออยู่ต่ออีกหนึ่งสมัยโดยอาศัยอภินิหารทางกฎหมาย และปัจจัยสำคัญในการฝ่าศึกอภิปรายหรือความจำเป็นต้องผ่านกฎหมายสำคัญ

แน่นอนสปอนเซอร์หลักต้องจ่ายหนักกว่าครั้งก่อนที่ลากกระเป๋า 4-5 ใบไปสู้ศึกในวาระเฉียดฉิวก่อนจะลงคะแนนอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงกว่าจำเป็นต้องอาศัยปัจจัยมากกว่าเดิมหลายเท่า ดังนั้นนายทุนค้าปลีกและค้าไฟฟ้าต้องเตรียมปัจจัยให้พร้อมถ้ายังเชื่อว่าลุงห้าวเป้งยังไปต่อได้

ช่วงหลังลุงห้าวเป้งดูเหมือนจะรู้ชะตากรรมของตัวเองว่าขาลอย และกองหนุนหมดจริงๆ จึงอยู่ในอาการเหม่อลอย ราศีความเชื่อมั่นเริ่มจางหาย ประกายตาหมองซึ่งก็เป็นภาวะปกติของผู้ที่ใกล้จะตกจากอำนาจ จะช้าหรือเร็วก็ตาม

การเมืองจึงไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร แม้แต่พี่น้องกอดคอกันมาในอาชีพทหารกว่า 40 ปีก็ยังมีโอกาสที่จะเกิดปัญหาขัดแย้งเพราะอำนาจและผลประโยชน์

กรณีของ 3 ลุง ย่อมไม่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ เพราะถึงจุดหนึ่งแล้วทุกคนย่อมเห็นแก่ตัวเอง


กำลังโหลดความคิดเห็น