การที่ประเทศหนึ่งประกาศว่าอีกประเทศหนึ่งเป็นภัยคุกคามต่อตัวเองโดยที่ต่างคนต่างอยู่ทำมาค้าขายกันตามปกติ แต่ฝ่ายหนึ่งเก่งกว่าทำให้ถูกยัดเยียดว่าเป็นภัย ทำให้เกิดปัญหาด้านเสถียรภาพในโลก สร้างภาวะความเป็นปฏิปักษ์ ความขัดแย้ง
สหรัฐฯ จึงเป็นต้นแบบในการกำหนดให้ประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นภัยคุกคามต่อตัวเอง โดยที่ฝ่ายที่ต้องรับบทนั้นอาจจะไม่ตั้งใจหรือเจตนาก็ได้ เพราะแต่ละประเทศต้องมุ่งหวังความเป็นหนึ่งในทุกด้านถ้ากระทำได้
สหรัฐฯ ได้เคยประกาศว่ารัสเซียเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ โดยที่รัสเซียนั้นไม่เคยประกาศว่าสหรัฐฯ มีบทบาทคุกคามหรือกำหนดให้เป็นภัย
เมื่อประเทศจีนได้พัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา มีความก้าวหน้าทุกด้านทั้งเทคโนโลยีการทหาร การค้า สามารถส่งสินค้าไปจำหน่ายทั่วโลก พร้อมทั้งแสดงให้เห็นความแข็งแกร่งในพื้นฐานของเศรษฐกิจประชาชนผลจากความยากจนนั่นทำให้อเมริกาประกาศว่าจีนคือภัยคุกคามที่แท้จริง
ดูแล้วก็น่าเวทนาเพราะสหรัฐฯ ดูเหมือนเป็นประเทศที่มีทั้งปมเขื่องและปมด้อยอวดแสนยานุภาพไปทั่วโลก มีกองทัพเรือและฐานทัพอยู่หลายประเทศ แต่ไม่มีประเทศอื่นให้ความเคารพหรือเกรงใจ หรืออาจจะมีบางประเทศที่กลัวว่าจะถูกแทรกแซงทำให้เกิดความวุ่นวายในประเทศ
เมื่อการพัฒนาสู่อวกาศและการทหารก็ยิ่งทำให้สหรัฐฯ เดือดร้อนเกรงว่าความเป็นจ้าวโลกของตนเองนั้นจะถูกลบเหลี่ยมหรือสูญเสียการนำ จึงพยายามทำทุกอย่างที่จะให้เกิดวิกฤตตามภูมิภาคต่างๆ ที่สหรัฐฯ เข้าไปมีบทบาททั้งแปซิฟิกและทะเลจีนใต้
น่าแปลกที่ว่าทั้งรัสเซียและจีนไม่เคยประกาศว่าสหรัฐฯ เป็นภัยคุกคามต่อตนเอง ทั้งที่เห็นชัดเจนถึงบทบาทของสหรัฐฯ ในการไปก่อสงครามทำลายล้างหลายประเทศเช่น อิรัก ซีเรีย ลิเบีย อัฟกานิสถาน และส่งสงครามตัวแทนไปในเยเมน และประเทศอื่นๆ รวมถึงการไปทิ้งระเบิดในประเทศในกลุ่มหาสมุทรบอลข่าน
สหรัฐฯ มักจะมีประโยคทองว่า “ผลประโยชน์แห่งชาติสหรัฐฯ” หรือ “US national interest” ซึ่งจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับทรัพยากรและที่ตั้งของประเทศนั้น และคำพูดนี่แหละทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ต้องคำนึงถึงเหตุผล ความชอบธรรมหรือกฎหมายระหว่างประเทศในการที่จะไปรุกรานประเทศอื่นๆ เพื่อให้ได้ดังใจ
เช่นการแสดงอำนาจว่าเป็นชาติมีแสนยานุภาพ มีอิทธิพลเหนือองค์กรระหว่างประเทศย่างเช่น สหประชาชาติ ธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ไม่ใส่ใจต่อการบังคับใช้อำนาจของศาลโลกหรือศาลอาญาระหว่างประเทศ
การมีปมเขื่องก็ย่อมมีปมด้อย นั่นคือสหรัฐฯ ไม่เคยรบชนะใครใน ประวัติศาสตร์ยุคใหม่เริ่มตั้งแต่สงครามเวียดนามซึ่งพ่ายแพ้ยับเยิน สูญเสียทรัพยากรทางมนุษย์และทรัพย์สินงบประมาณมากมาย เป็นปัญหาสังคมยืดเยื้อจนทุกวันนี้
สหรัฐฯ ไม่เข็ดไปรุกรานอิรัก ซีเรีย ลิเบีย และอัฟกานิสถาน ซึ่งไม่สามารถเอาชนะได้ แม้จะมีกำลังทหารมากมายอาวุธเหนือกว่า มีพันธมิตรจากยุโรปช่วยรบ
อเมริกาเคยประสบความสำเร็จในการบุกยึดเข้าไปในประเทศกรานาดา ซึ่งเป็นประเทศเกาะเล็กๆ ในอเมริกาใต้ไม่มีแสนยานุภาพอะไรเพียงแต่ผู้นำยุคนั้นคือ โรนัลด์ เรแกน ต้องการแสดงให้เห็นว่าอเมริกายังมีน้ำยาอยู่หลังจากพ่ายแพ้ในเวียดนาม
อีกครั้งหนึ่งคือการบุกเข้าไปในประเทศปานามาเข้าไปจับตัวผู้นำประเทศคือประธานาธิบดี มานูเอล นอริเอกา เอาไปขังคุกในสหรัฐฯ ในข้อหาค้ายาเสพติด แต่นั่นก็เป็นเพียงประเทศเล็กๆ ที่สหรัฐฯ ใช้กำลังเหนือชั้นกว่าเอาชนะได้
แต่ยังมีประเทศเวเนซุเอลาซึ่งหมายถึงขนาดกลางสหรัฐฯ ก็ยังไม่กล้าใช้อำนาจเขาหักหาญเพราะเกรงการแทรกแซงโดยรัสเซียและจีน
สงครามยูเครนจึงเป็นเพียงอีกฉากหนึ่งซึ่งสหรัฐฯ ฉลาดกว่าเดิม โดยไม่ต้องส่งทหารไปรบแต่ส่งอาวุธและเงินงบประมาณทุ่มไม่อั้นไปช่วยเหลือประธานาธิบดีตัวตลกผู้นำประเทศให้ต่อต้านการรุกของรัสเซีย
โดยประกาศชัดเจนว่าวัตถุประสงค์หลักคือต้องการให้รัสเซียอ่อนแอให้มากที่สุด โดยใช้ยูเครนเป็นเบี้ยและผู้นำยูเครนเป็นหุ่นเชิด
ประเทศต่างๆ ในยุโรปก็เป็นเพียงหุ่นเชิดหรือเบี้ยของสหรัฐฯ เท่านั้น จะสั่งให้ทำอย่างไรก็ต้องทำตามภายใต้สนธิสัญญานาโตโดยมีอังกฤษเป็นสมุนเอกในการกำกับประเทศในกลุ่มนาโตให้ทำตามคำสั่งของสหรัฐฯ
สหรัฐฯ ประกาศอย่างไม่อ้อมค้อมปิดบังแผนว่าต้องการให้รัสเซียเสียหายให้มากที่สุด ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร และโครงสร้างโดยรวมผ่านมาตรการคว่ำบาตรและสงครามยืดเยื้อในยูเครนซึ่งต้องกินเวลาเป็นปีแต่สหรัฐฯ และกลุ่มนาโต รวมถึงประชาคมยุโรปก็พร้อมที่จะเสียเงินและเสียผลประโยชน์เพื่อทำลายรัสเซีย
ที่น่าอายอย่างมากคือคำประกาศของสหรัฐฯ ว่าจะยึดทรัพย์สินของมหาเศรษฐีและเจ้าของบริษัทรัสเซียในสหรัฐฯ และในยุโรปเพื่อเอามาขายแล้วเยียวยาความเสียหายในยูเครนอันเกิดจากสงคราม
นี่คือการปล้นทรัพย์สินเงินทองของบุคคลและนิติบุคคลของประเทศอื่นอย่างหน้าด้านๆ ไม่คำนึงถึงกฎระเบียบสากล ทำลายโครงสร้างการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ ความอยากเอาแต่ได้และเอาชนะของสหรัฐฯ ทำให้ต้องกระทำในสิ่งที่น่าอาย
ล่าสุดมีคำประกาศร่วมระหว่างสหรัฐฯ กับอังกฤษกำหนดให้จีนเป็นศัตรูร่วมของทั้งสองประเทศ และนั่นคงเป็นฉากใหม่ในศึกต่อไปในพื้นที่ทะเลจีนใต้และอินโดแปซิฟิกซึ่ง ทั้งสองประเทศอยากจะเป็นเจ้าโลกโดยไปยุ่งนอกอาณาเขตของตัวเอง