แม้จะปฏิเสธหลายครั้งแต่ก็ไม่มีใครเชื่อว่าพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ปรารถนาจะเป็นนายกรัฐมนตรี เขาถูกสื่อมวลชนสอบถามเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ เหมือนไม่เชื่อว่าการปฏิเสธนั้นจะเป็นเรื่องจริง ถ้าถามว่า อะไรที่ทำให้หลายคนคิดเช่นนั้น ก็ต้องตอบว่า อำนาจบารมีที่พล.อ.ประวิตรมีอยู่นั่นแหละ
คู่เปรียบในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นอกจากจะเป็นพรรคฝ่ายตรงข้ามแล้ว ก็มีพล.อ.ประวิตรนี่แหละที่ถูกจับมาเทียบเคียงตลอดเวลา จนกระทั่งบางครั้งก็มีข่าวว่า ทั้งสองคนต่างแข่งบารมีกัน เหมือนช่วงปลายปีที่แล้วที่ทั้งสองแข่งกันออกไปตรวจงานในต่างจังหวัดแล้วถูกจับตามองว่า ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐจะไปต้อนรับใครมากกว่ากัน
“ใครก็รู้กันทั้งนั้นว่าไม่มีปัญหา ส.ส.พรรคพลังประชารัฐทุกคนต่างรู้ดีว่าผมกับนายกรัฐมนตรีไม่มีปัญหากัน จะมีแต่นักข่าวเท่านั้นที่คอยเสนอข่าวทะเลาะกัน ผมกอดคอกับนายกฯ สนิทสนมกันมา 50 กว่าปี ข่าวออกมา บ้าบอทั้งสิ้น จำไว้ ให้ตายจากกัน เรา 3 ป. ถึงจะเลิกรักกัน บ้าบอมากกับข่าวทะเลาะกัน” ในครั้งนั้นพล.อ.ประวิตรบอกกับสื่อมวลชนอย่างนี้
ต้องยอมรับว่า เส้นสายกลไกทางการเมืองนั้นพล.อ.ประยุทธ์ต้องพึ่งพิงพล.อ.ประวิตรที่เหมือนเป็นลมใต้ปีกให้พล.อ.ประยุทธ์ บ้านของพล.อ.ประวิตรนั้นมีคนวิ่งเข้าออกตลอดเวลา แต่บ้านของพล.อ.ประยุทธ์นั้นปิดประตูตาย พล.อ.ประวิตรจึงมีคนแวดล้อมมาพบปะพูดคุยกับผู้คนมากแน่นอน สิ่งที่ได้ยินก็ต้องมีคำเยินยอมากกว่าคำติฉิน จนกระทั่งพูดกันว่า ไม่ว่าใครจะปรารถนาอะไรในประเทศนี้ก็ต้องวิ่งเข้าบ้านพล.อ.ประวิตรทั้งนั้น
ไม่มีใครรู้หรอกว่า พล.อ.ประวิตรคิดหรือไม่ว่าทำไมไม่เป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง แต่เชื่อว่าคนที่อยู่ใกล้ตัวและคนแวดล้อมต้องคิดว่าทำไมนายของตัวเองไม่เป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง ถ้าไม่เช่นนั้นข่าวที่บอกว่าพล.อ.ประวิตรอยากเป็นนายกรัฐมนตรีจะออกมาตลอดเวลาได้อย่างไร
ต้องยอมรับว่า ตำแหน่งแห่งหนของพล.อ.ประวิตรในปัจจุบัน แม้จะเป็นรองนายกรัฐมนตรี แต่ก็ไม่มีอำนาจอะไร ในขณะที่พล.อ.ประวิตรต้องแบกรับกับรักษาฐานอำนาจให้กับพล.อ.ประยุทธ์ทุกอย่าง ทั้งเกมการเมืองในสภาฯ และนอกสภาฯ นอกจากนั้นพล.อ.ประวิตรยังต้องแบกรับภาพลักษณ์ด้านมืดเอาไว้ด้วย
เพราะหากวัดกระแสของสังคมพล.อ.ประวิตรเป็นเหมือนคนแบกภาพด้านลบเอาไว้เพื่อให้พล.อ.ประยุทธ์มีภาพที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง บางครั้งคนแก่อย่างพล.อ.ประวิตรก็อาจน้อยใจในวาสนาของตัวเองได้เหมือนกัน แถมมวลชนที่เป็นติ่งของพล.อ.ประยุทธ์ก็มองว่า พล.อ.ประวิตรเป็นตัวถ่วงที่ทำให้ภาพของพล.อ.ประยุทธ์มัวหมอง
ถ้าเราย้อนไปดูการเคลื่อนไหวของร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า คนสนิทของพล.อ.ประวิตรในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่แล้ว ที่ชัดเจนแล้วว่า ตอนนั้นธรรมนัสเคลื่อนไหวให้สมาชิกในพรรคพลังประชารัฐที่อยู่ใต้เงาของเขาลงมติไม่ไว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์ เพื่อให้พล.อ.ประยุทธ์ถูกคว่ำกลางสภาฯ เป้าหมายของธรรมนัสในตอนนั้นก็คือการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีนั่นเอง
การเคลื่อนไหวของธรรมนัสในครั้งนั้นมีการพูดถึงคนแดนไกลที่มักจะถูกโยงกับพล.อ.ประวิตรอยู่เสมอๆ
แต่พล.อ.ประยุทธ์รู้ข่าวจึงต้องวิ่งเข้าไปเคลียร์กับพล.อ.ประวิตรที่มูลนิธิป่ารอยต่อ จึงรอดพ้นจากการถูกคว่ำในสภาฯ ไปได้ และในที่สุดพล.อ.ประยุทธ์ก็สั่งปลดธรรมนัสจากตำแหน่งรัฐมนตรี และตามมาด้วยการกดดันให้พ้นจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค จนธรรมนัสกับพวกต้องแยกตัวออกมาตั้งพรรคใหม่ แต่ยังอยู่ใต้ปีกของพล.อ.ประวิตรเหมือนเดิม
พูดง่ายๆ ว่าธรรมนัสเอาพล.อ.ประวิตร แต่ไม่เอาพล.อ.ประยุทธ์
ถามว่าการกระทำเช่นนั้นของธรรมนัส พล.อ.ประวิตรไม่เคยรับรู้มาก่อนหรือ ธรรมนัสจะกล้ากระทำเช่นนั้นหากพล.อ.ประวิตรไม่รู้เห็นเป็นใจหรือ
พล.อ.ประยุทธ์เองก็รู้ตัวดีว่า การขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของเขา แม้จะเป็นคนลงทุนทำรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในฐานะผู้บัญชาการทหารบกมาด้วยตัวเอง แต่เขาคงเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้ถ้าไม่ได้รับแรงสนับสนุนจากพล.อ.ประวิตร เพราะพล.อ.ประยุทธ์ไม่มีเส้นสายทางการเมือง แต่ต้องพึ่งพิงบารมีของพล.อ.ประวิตรที่เป็นผู้กว้างขวาง
พล.อ.ประยุทธ์จึงพูดถึงพล.อ.ประวิตรด้วยความรักเสมอมา
“3 ป. เนี่ยนะ ไม่มีใครทำลายผมได้ ทุกคนอาจจะไม่รู้ ทุกคนอาจจะรักคน รักเพื่อน รักคนอื่น เหมือนผมรักกัน 3 คน ผมร่วมเป็นร่วมตายกันมา ชายแดนผมก็อยู่ ท่ามกลางสนามรบผมก็อยู่ อยู่ด้วยกัน”
“ท่านเป็นผู้บังคับบัญชาผมตั้งแต่ก้าวแรกที่ผมเข้ามารับราชการ อยู่บ้านเดียวกัน กินนอนด้วยกัน สั่งสอนกัน อบรมด้วยกัน แม้โตขึ้นมาก็ยังเคารพ ยังคบกันอยู่ ทุกอย่าง”
“ผมมีวันนี้ได้เพราะพี่ทั้งสองคน ท่านสั่งสอนผมมา และพี่ทั้งสองคนไม่เคยสอนให้ผมทุจริต โกง ไม่มี จะตีผมกันยังไง ผมไม่มีแตกอยู่แล้ว รักกัน เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน จำคำพูดผมไว้แล้วกัน”
พล.อ.ประยุทธ์คงไม่พูดเช่นนั้นถ้าไม่มีข่าวคราวความหวาดระแวงและแตกระแหงของพี่น้อง 3 ป.
การเคลื่อนไหวก่อนสงกรานต์ของพล.อ.ประวิตรที่ขึ้นป้ายริมถนนในเส้นทางหลายจังหวัดก็ถูกตั้งข้อสังเกตว่า อาจจะเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อเตรียมตัวเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะแม้จะอ้างว่าเป็นการสวัสดีปีใหม่ไทยก็ตาม แต่พล.อ.ประวิตรก็ไม่เคยกระทำเช่นนั้นมาก่อนเลย
มีคนบอกว่า พล.อ.ประวิตรอาจจะมีความจำเป็นต้องกระทำเช่นนั้นเพราะ ณ ตอนนี้สถานะของพล.อ.ประยุทธ์ที่เป็นนายกรัฐมนตรีมาใกล้จะครบ 8 ปีแล้ว ยังไม่รู้เลยว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยออกมาอย่างไร ถ้าไม่เตรียมตัวไว้ก่อนถึงตอนนั้นก็จะไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้ทัน เพราะรัฐธรรมนูญ 2560 ยังเปิดทางนายกรัฐมนตรีคนนอกนอกเหนือจากบัญชีที่พรรคการเมืองเสนอเอาไว้
ล่าสุดเมื่อมีข่าวคราวว่าพล.อ.ประวิตรแอบไปพบกับทักษิณที่อังกฤษ แม้เจ้าตัวจะออกมาปฏิเสธ แต่ดูเหมือนว่า การปฏิเสธครั้งนี้ยังมีความน่าเคลือบแคลง เพราะมีการให้ข่าวที่ขัดแย้งกันเองกับนายนิโรธ สุนทรเลขา ประธานวิปรัฐบาล จนกระทั่งมีคำถามเรื่องการเสนอชื่อบุคคลที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคอีกครั้งว่า นอกจากพล.อ.ประยุทธ์แล้ว พล.อ.ประวิตรจะเสนอชื่อตัวเองด้วยหรือไม่
การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะเกิดขึ้นในสมัยประชุมสภาฯ นี้จะเป็นบทพิสูจน์อีกครั้งว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพล.อ.ประวิตรกับพล.อ.ประยุทธ์จะยังคงเหนียวแน่นหรือไม่ เพราะอนาคตของพล.อ.ประยุทธ์นั้นฝากความหวังส่วนหนึ่งไว้กับเสียงของพรรคเศรษฐกิจไทยของธรรมนัสว่าจะลงมติอย่างไร และเราเห็นธรรมนัสเพิ่งจะนำสมาชิกของเขาเข้าไปคารวะพล.อ.ประวิตรในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
นั่นเป็นบทพิสูจน์ว่า อนาคตของพล.อ.ประยุทธ์อย่างไรเสียก็มีชะตากรรมอยู่ภายใต้อุ้งมือของพล.อ.ประวิตร
ทำไมความสัมพันธ์ของพล.อ.ประวิตรกับทักษิณนั้นถึงถูกพูดถึงตลอดเวลา แม้ว่าพล.อ.ประวิตรจะปฏิเสธกี่ครั้งก็ไม่สามารถทำให้คนเชื่อได้ว่าทั้งสองไม่มีสายใยที่สื่อสารถึงกัน
และมีใครบอกได้บ้างไหมว่า ทำไมจึงมีคำถามเรื่องการเป็นนายกรัฐมนตรีของพล.อ.ประวิตร ตลอดเวลา แม้เจ้าตัวจะตอบปฏิเสธทุกครั้ง เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานคำถามนี้ก็เวียนกลับมาอีก
หรือว่านี่คือแรงปรารถนาที่ไม่อาจซ่อนเร้นของชายวัย 76 ปีที่มากบารมีท่านนี้
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan