สงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซียได้แปรสภาพเป็นการเผชิญหน้าโดยตรงระหว่างสหรัฐฯ และพันธมิตรกว่า 30 ประเทศ และรัสเซียซึ่งถูกรุมกินโต๊ะทั้งศึกเศรษฐกิจการเมืองและอาวุธนำไปสู่สถานการณ์ล่อแหลมโดยมีการพูดถึงอาวุธนิวเคลียร์
รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ ได้พูดถึงความเป็นไปได้ที่การสู้รบจะขยายจากยูเครนไปสู่พื้นที่ของนาโต มีความเป็นไปได้ที่การใช้อาวุธนิวเคลียร์ยุทธวิธีจะเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้
แม้หลายฝ่ายจะอ้างถึงโอกาสที่จะเป็นเช่นนั้นไม่มากนัก ก็ยังไม่มีใครตัดออกไปได้ว่าอาวุธนิวเคลียร์ไม่ใช่เป็นทางเลือกขั้นสุดท้าย แม้จะเป็นเพียงสิ่งที่นำมากล่าวเพื่อการป้องปรามกันก็ตาม
วันก่อนรัฐมนตรีกลาโหมของอังกฤษนายเบน วอลเลซ ยังสวนกลับรัสเซียว่าอังกฤษก็พร้อมที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์เช่นกัน เรือดำน้ำซึ่งติดอาวุธนิวเคลียร์ก็อยู่ในสภาพพร้อมรบและใช้การได้อยู่ในหลายพื้นที่ รวมทั้งนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ฝรั่งเศส
ทำให้คนที่เฝ้าติดตามสถานการณ์รู้สึกถึงความตึงเครียด
ทั้งนี้เป็นเพราะสหรัฐฯ ยังเพิ่มงบประมาณทุ่มเทการส่งอาวุธสารพัดที่จำเป็นจากการร้องขอของผู้นำตัวตลกของยูเครน โวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ และยังกำชับให้พันธมิตรหลักของนาโตคืออังกฤษและเยอรมนีเพิ่มการส่งอาวุธให้เช่นกัน
นับตั้งแต่สงครามเกิดขึ้นสหรัฐฯ ได้ใช้จ่ายเงินเพื่อสนับสนุนยูเครนด้านอาวุธไปถึง 3 พันล้านดอลลาร์ รวมถึงอำนาจภาวะฉุกเฉินส่งกระสุนมูลค่า 165 ล้านดอลลาร์เป็นกรณีพิเศษให้ยูเครน ซึ่งเห็นได้ว่าต้องการให้สงครามยืดเยื้อ ขณะที่เยอรมนีก็ได้ปรับแนวนโยบายด้วยการส่งอาวุธรวมถึงรถถังและยานรบให้กับยูเครนอีกด้วย
คำประกาศเจตนาของสหรัฐฯ ซึ่งออกจากปากของรัฐมนตรีกลาโหม ลอยด์ ออสติน ช่วงเดินทางไปเยือนกรุงเคียฟกับรัฐมนตรีต่างประเทศ แอนโทนี บลิงเคน เป็นความชัดเจนว่า “สหรัฐฯ ต้องการให้รัสเซียอยู่ในสภาพอ่อนแอลงทุกทาง ด้วยการสนับสนุนให้ยูเครนสู้รบในสงครามต่อไป”
และรัสเซียก็ตระหนักดี พร้อมกับประกาศแล้วว่านี่เป็นสงครามโดยตรงระหว่างรัสเซียกับสหรัฐฯ และพวกในยุโรป พื้นที่อื่นๆ ที่กลุ่มคว่ำบาตรรัสเซีย ดังนั้นผู้นำรัสเซียจึงต้องใช้ทุกวิถีทางในการตอบโต้ และนั่นเองคำว่าอาวุธนิวเคลียร์ถูกเอ่ยถึง
รัสเซียได้ประกาศว่ามาตรการคว่ำบาตรนำโดยสหรัฐฯ ที่ผ่านมานั้น ไม่ได้สร้างความเสียหายรุนแรงตามที่คาดหมายโดยฝ่ายโลกตะวันตก และรัสเซียยังตอบโต้โดยใช้พลังงานเช่นน้ำมันดิบและก๊าซเป็นอาวุธเพื่อเล่นงานกลุ่มประเทศในประชาคมยุโรปซึ่งขาดพลังงานจากรัสเซียไม่ได้
จะเห็นได้ว่าแม้แต่เยอรมนีและฝรั่งเศสก็ยังไม่ประกาศชัดเจนว่าจะหยุดซื้อน้ำมันดิบและก๊าซจากรัสเซียเมื่อไหร่ แม้จะมีแรงบีบจากสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องก็ตาม
ล่าสุดผู้นำรัสเซีย วลาดิมีร์ปูติน ก็ได้แสดงพลังให้ประเทศบัลแกเรีย และโปแลนด์ได้รับรู้ว่าการไม่มีน้ำมันและก๊าซใช้นั้น ประชาชนของทั้งสองประเทศจะลำบากอย่างไร เพราะทั้งสองชาติไม่ยอมจ่ายเงินรูเบิลในการซื้อจากรัสเซีย
การถูกปิดท่อก๊าซกะทันหันแสดงให้เห็นว่ารัสเซียไม่ยอมอ่อนข้อ และไม่ยอมต่อรองกับเงื่อนไขที่ว่าใครก็ตามที่ต้องการจะซื้อก๊าซและน้ำมันจากรัสเซีย จะต้องจ่ายเป็นเงินในสกุลรูเบิลเท่านั้น หรือจะใช้เงินสกุลยูโรจ่ายผ่านธนาคารก๊าซพรอม ซึ่งจะแปลงเป็นสกุลรูเบิล ให้บริษัทก๊าซพรอมผู้ส่งก๊าซ
ต้องรอดูว่าทางบัลแกเรียและโปแลนด์จะหาทางออกอย่างไรหรือจะยอมตามเงื่อนไขการจ่ายเงินรูเบิลหรือไม่ รัสเซียต้องการจะเล่นงานโปแลนด์ซึ่งทำตัวเป็นหลักในการต่อต้านรัสเซีย เป็นแหล่งเคลื่อนย้ายอาวุธจากนาโตเข้าไปช่วยยูเครน
อาวุธหลายเที่ยวถูกทำลายโดยฝ่าย รัสเซียซึ่งเฝ้ามองความเคลื่อนไหวผ่านระบบดาวเทียมจารกรรมโดยตลอด ล่าสุดกองทัพรัสเซียได้โจมตีเครือข่ายระบบรางรถไฟขนอาวุธพินาศอย่างน้อย 6 จุดแต่สหรัฐฯ ก็ยังไม่ยอมลดละการช่วยเหลือยูเครน
ดูสภาพแล้วยูเครนไม่มีทางที่จะเอาชนะรัสเซียในสงครามครั้งนี้ได้เพราะแสนยานุภาพต่างกัน หลายเมืองในยูเครนและเครือข่ายระบบสาธารณูปโภคถูกทำลายย่อยยับเสียหายไปแล้ว เป็นมูลค่ากว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์
แต่สหรัฐฯ และพวกไม่สนใจว่ายูเครนจะพินาศย่อยยับอย่างไร เพราะเป้าหมายที่แท้จริงคือการทำให้รัสเซียอ่อนแอลงทุกด้านและให้ติดกับอยู่ในสงครามกับยูเครนให้นานที่สุด ซึ่งฝ่ายรัสเซียก็รับรู้ถึงแผนของฝ่ายสหรัฐฯ เป็นอย่างดี
ทั้งยังตอกกลับว่าได้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์นี้หลายปีแล้วตั้งแต่ฝ่ายนาโตไม่ยอมหยุดยั้งการขยายพื้นที่ไปทางทิศตะวันออกเพื่อประชิดชายแดนรัสเซีย
นี่สงครามแห่งการทำลายล้างโดยมียูเครนเป็นสมรภูมิและเป็นเบี้ยของฝ่ายโลกตะวันตก ไม่คำนึงถึงความหายนะของบ้านเมือง การสูญเสียชีวิตของทหารและประชาชน เป็นเพียงเพราะความอยากเป็นฮีโร่ของผู้นำตัวตลกของยูเครน
เกมการทูตก็ยังดำเนินต่อไปแต่รัสเซียรู้ดีว่าการเจรจาจะเป็นผลก็ต้องเกิดขึ้นกับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหัวโจก ผู้นำยุโรปหรือยูเครนเป็นเพียงตัวประกอบฟังคำสั่งของผู้นำสหรัฐฯ โจ ไบเดนเท่านั้น
คนทั้งโลกต้องเฝ้ามองว่าการสู้รบจะเป็นไปอย่างไรในสงครามระหว่างรัสเซียกับกลุ่มประเทศที่นำโดยสหรัฐฯ และวาระของการใช้อาวุธนิวเคลียร์จะเกิดขึ้นหรือไม่ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดความอยู่รอดของมนุษยชาติทั้งโลก