ณ บ้านพระอาทิตย์
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คุณรสนา โตสิตระกูล เป็นผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่ประกาศว่าเป็น ”อิสระตัวจริง” ตั้งแต่แรก ซึ่งมีความหมายคืออิสระจากผลประโยชน์ของกลุ่มทุน หรือผลประโยชน์ของพรรคการเมืองใด และยึดเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง
แต่ข้อสำคัญคือ คุณรสนา โตสิตระกูล น่าจะเป็นทางเลือกของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่จะนำพาให้ประชาชนฝ่าฟันความกลัวและผลประโยชน์อันมหาศาลจาก “โรคระบาด” ครั้งนี้ได้
ด้วยเพราะคุณรสนาได้เติบโตมาในทางด้านสมุนไพร ภายใต้มูลนิธิสุขภาพไทยมาหลายสิบปีแล้ว และคุณรสนา โตสิตระกูล ก็มีใบประกอบวิชาชีพเป็นแพทย์แผนไทยสาขาผดุงครรภ์ โดยมีสามีคือ อ.สันติสุข โสภณสิริ ก็เป็นแพทย์แผนไทยเวชกรรม ผู้เป็นครูบาอาจารย์ที่รอบรู้และเป็นที่เคารพในวงการแพทย์แผนไทยอีกคนหนึ่งเช่นกัน
คุณรสนา โตสิตระกูลได้เดินหน้าฝ่าฟันกระแสผลประโยชน์ของกลุ่มทุนบริษัทยาและวัคซีนข้ามชาติ ด้วยการรณรงค์ให้ประชาชนได้ใช้ฟ้าทะลายโจรและยาไทย ซึ่งมีราคาถูกพึ่งพาตัวเองได้ เพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติ และรอดพ้นจากการปั่นกระแสความกลัวของโรคระบาดครั้งนี้
แทนที่จะใช้เส้นสายชิงตัดหน้าเพื่อเอาตัวรอดแย่งฉีดวัคซีนเหมือนนักการเมืองคนอื่นๆ คุณรสนา โตสิตระกูล กลับเสียสละเอาชีวิตตัวเองเป็นเดิมพันด้วยการ “ไม่ฉีดวัคซีนเลยแม้แต่เข็มเดียวจนถึงปัจจุบัน” และให้โอกาสประชาชนที่อยู่ในความหวาดกลัวกว่าได้สิทธิในการฉีดวัคซีนกันถ้วนหน้าไปก่อน
ไม่ว่าข้อมูลยืนยันว่าวัคซีนจะมีความปลอดภัยเพียงใดก็ตามคุณรสนา โตสิตระกูล ก็ยังคงไม่ได้ฉีดวัคซีน และยังคงใช้ฟ้าทะลายโจรและสมุนไพรไทยในการดูแลตัวเองอย่างเดียวในช่วงการระบาดของโรคร้ายต่อไป แม้ว่าจะต้องพบปะกับประชาชนจำนวนมากก็ตาม
แต่บทพิสูจน์ที่ใช้ตัวเองเป็นเดิมพันนั้น ได้กลายเป็นกรณีศึกษาและเป็นความหวังคือคุณรสนา โตสิตระกูล ก็รอดพ้นจากการติดเชื้อโรคระบาดมาโดยตลอดไม่เคยพบการติดเชื้อเลยแม้แต่วันเดียว ย่อมสะท้อนให้เห็นภาวะความเป็นผู้นำของคุณรสนา โตสิตระกูล ที่มีโอกาสจะนำพาความหวังให้ฝ่าฟันวิกฤติโรคระบาดได้
นอกจากนั้นจากการเดินสายของคุณรสนา โตสิตระกูล เพื่อรณรงค์ปลูกและใช้ยาฟ้าทะลายโจรในชุมชนแออัดในกรุงเทพมหานคร ยังพบกรณีศึกษาจำนวนมากในหลายครอบครัวว่า ผู้ที่ใช้ยาฟ้าทะลายโจรแม้ยังไม่ฉีดวัคซีนเลยกลับเป็นผู้ดูและครอบครัวคนที่ป่วยหนักทั้งๆ ที่ฉีดวัคซีนไปหลายเข็มแล้ว
ซึ่งถ้าสมมุติว่าคุณรสนา โตสิตระกูล เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจริงๆ เชื่อมั่นว่าก็คงจะเป็นผู้นำฝ่ากระแสการกีดกั้นด้วยการวิจัยความจริงนี้ ให้ปรากฏต่อชาวโลกว่าสมุนไพรไทยและประเทศไทยปลอดภัย เพื่อให้ประเทศไทยพร้อมจะกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติเร็วที่สุด โดยไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนจนแขนพรุนอย่างไม่รู้จบสิ้น (แต่ก็ยังติดเชื้ออยู่ดี)
การเสียสละครั้งนี้ก็เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าแนวทางการใช้สมุนไพรไม่เพียงมีโอกาสจะนำพาชาติให้รอด กลับมาทำมาหากินได้ และกลับมาเปิดประเทศได้เท่านั้น แต่อาจทำให้ประเทศไทยแปลงวิกฤติให้กลายเป็นโอกาสได้ด้วย
และน่าจะเป็นสาเหตุเบื้องหลังว่าเหตุใดคุณรสนา โตสิตระกูล จึงเป็นผู้สมัครคนเดียวที่ใช้ป้ายหาเสียงว่า
“เปิดกรุงเทพ พึ่งพาตนเอง ฟ้าทะลายโจรและยาไทย ฟรีทุกบ้าน อยู่กับโควิดได้ กลับมาทำมาหากินได้อย่างมั่นใจ”
เพราะถ้าเราฝ่าวิกฤติโรคระบาดไปไม่ได้ นักท่องเที่ยวยังคงถูกกักตัว เราจะต้องเสียเงินอีกมหาศาลจากวัคซีนและยาจากต่างชาติ เราเอาภาษีที่ไหนมาทำโครงการขายฝันของผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครทุกคนได้ ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้วยังไม่มีผู้สมัครคนไหนเลยที่จะแสดงนโยบายว่าจะเป็นผู้นำฝ่าวิกฤติโรคระบาดครั้งนี้ได้อย่างไร ยกเว้นคุณรสนา โตสิตระกูล
ในฐานะผู้เขียนได้เป็นผู้รณรงค์การใช้ยาฟ้าทะลายโจร สมุนไพรไทย และตำรับยาไทย อยากเห็นผู้นำไทยเดินตามรอยผู้นำจีนที่ประกาศว่าโรคระบาดที่ผ่านมาสามารถรักษาให้หายด้วยยาจีนได้ (หลายขนานด้วย) ถ้าแม้ผู้นำไทยยังอยู่ในกรอบความคิดเดิมๆและยังเปลี่ยนไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดก็ให้เริ่มต้นได้ก่อนที่กรุงเทพมหานคร
ถึงเวลา “เปิดกรุงเทพมหานคร”
ถึงเวลา “มีหลักประกันเป็นยาฟ้าทะลายโจร และยาไทย” ใช้ในบ้านได้ทันที โดยไม่ต้องโทรศัพท์ไปรอคิวยาวจากใคร
ถึงเวลาที่การแพทย์แผนไทยจะได้มีบทบาทในกรุงเทพมหานครมากขึ้น
ถึงเวลาเปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างชาติที่ยังไม่ป่วยเข้ามาได้โดยไม่ต้องกักตัว พร้อมกับจำหน่ายฟ้าทะลายโจรเข้าเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยได้
ถึงเวลากลับมาเปิดกิจการและสถานบันเทิงทั้งหลาย เพื่อกรุงเทพกลับมาใช้ชีวิตทำมาหากินอย่างมั่นใจ
ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์