เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงหนีไม่พ้นต้อง “ตามไปดู” เรื่องราวระหว่างหมีขาวรัสเซียกับยูเครนกันต่อไปอีกนั่นแหละทั่น!!! เพราะยังคงเป็นข่าวคราวที่มาแรง-แซงโค้ง ไม่ว่าในระดับโลกหรือในบ้านเรา เรียกว่า...ยังไม่ถึงกับถูก “กลบกระแส” ด้วยเรื่องราวของคุณน้อง “แตงโม” หรือ “คุณแม่น้องแตงโม” เอาง่ายๆ โดยในแง่รายละเอียด จะไปกันถึงไหนต่อถึงไหน คงรับรู้-รับทราบได้ไม่ยาก เพราะบรรดา “ผู้เชี่ยวชาญ” ทั้งหลายในบ้านเรา (ซึ่งมีเยอะแยะมากมายเสียเหลือเกิน) ท่านได้อัพด่ง-อัพเดต ชนิดวันละ 3 เวลาหลังอาหาร จนไม่น่าจะเสียเวลาไปพูดถึง กล่าวถึง อีกต่อไปแล้ว...
แต่เรื่อง “ใครแพ้-ใครชนะ”นี่สิ!!!...อันถือเป็นบทสรุปของฉากสถานการณ์ที่คงคาดเดาได้ลำบาก เพราะฝ่าย “เชียร์รัสเซีย” และฝ่าย “เชียร์อเมริกา”หนีไม่พ้นต้องเห็นไปคนละทาง คนละเรื่อง คนละม้วน แต่กระนั้นก็ตาม...อย่างน้อยก็น่าจะหยิบมาพูดถึง กล่าวถึง เอาไว้มั่ง โดยอาศัยบรรดาพวกที่ออกไปทาง “มัชฌิมาปฏิปทา” ที่ไม่ถึงกับ “3 นิ้ว-3 กีบ” แบบคุณน้อง “พิธา” หัวหน้าพรรคก้าวไกล อะไรทำนองนั้น หรือพวกที่ไม่ถึงกับ “สลิ่มรัสเซีย” จนเกินไป ซึ่งก็มีอยู่เยอะแยะมากมายในโลกใบนี้ ขึ้นอยู่กับว่าจะหยิบมาใคร่ครวญ พิจารณา ด้วยใจแบบ “กลางๆ” หรือไม่? และอย่างไร?...
คือถ้าว่ากันในแง่ของ “สงครามข้อมูลและข่าวสาร”แบบที่ใครต่อใครเคยเชื่อๆ กันว่า “ผู้ใดคุมข้อมูล-ข่าวสาร...ผู้นั้นคุมโลก”อะไรประมาณนั้น คงต้องยอมรับว่า...ฝ่ายรัสเซียหรือฝ่ายเชียร์รัสเซีย น่าจะ“แพ้ขาด”เพราะไม่ว่าจะเก่ง จะฉลาด หรือจะดุขนาดไหน แต่เมื่อผู้นำรัสเซียอย่างประธานาธิบดี“วลาดิมีร์ ปูติน”ต้องโคจรมาเจอกับ “อดีตดาวตลก” อย่างผู้นำยูเครน ประธานาธิบดี“โวโลดิมีร์ เซเลนสกี” ที่แถมออกไปทาง“ตลก 69”อีกด้วยต่างหาก หรือพร้อมจะพลิกไป-พลิกมาได้เสมอๆ ในแง่ของการโฆษณาประชาสัมพันธ์ การสร้างภาพ ขยายภาพ สร้างข่าว ปล่อยข่าว ฯลฯ คงต้องยอมรับว่า...ฝ่ายยูเครนค่อนข้างมีภาษีเหนือกว่าไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ชนิดแม้กระทั่ง“ทวยไทย”ในบ้านเรา...ยังคิดจะอาสาสมัครไปรบให้กับยูเครนเอาเลยถึงขั้นนั้น โดยยังไม่อาจรู้ได้ว่าจะมี“ค่าเครื่องบิน”บินไปยังโปแลนด์ด้วยตัวเองหรือไม่? อย่างไร? สามารถพูดภาษายูเครน หรือภาษารัสเซีย ได้มาก-น้อยขนาดไหน และเคยผ่านการรบ ผ่านศึกสงครามมาแล้วหรือไม่? ประการใด? อันถือเป็นข้อกำหนดในรายละเอียด ที่คงหาใครที่มีคุณสมบัติครบถ้วนได้ยากพอสมควร แต่ในแง่ของการโฆษณาประชาสัมพันธ์แล้ว ต้องถือว่าเป็นอะไรที่“เก๋ซะไม่มี”...
นอกเหนือไปจากนั้น...การที่บรรดาสำนักข่าวตะวันตกทั้งหลาย อันถือเป็น“สื่อกระแสหลัก”ของโลกทั้งโลก เขาได้หันไปถือหางฝ่ายยูเครน อย่างชนิดเป็นระบบและเป็นกระบวนการ ไม่ใช่แค่เฉพาะ CNN, BBC, CNBC ฯลฯ และอะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะมากมาย แต่ยังมี Twitter, Facebook, Google, Apple ฯลฯ หรือบรรดา“สื่ออิเล็กทรอนิกส์” ทั้งหลาย เข้าไปเสริมทัพอย่างเป็นงาน-เป็นการ เป็นกิจการ อีกด้วยต่างหาก โอกาสที่“สื่อรัสเซีย”อย่างประเภท RT (Russia Today) หรือ Sputnik หรือแม้แต่สื่อของหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ อย่าง Global Times ของจีน คงทำอะไรลำบาก ความน่าเกลียด น่ากลัวความเป็นผู้ร้าย ดาวร้าย ของฝ่ายรัสเซีย หรือผู้นำรัสเซีย จึงแพร่กระจายออกไปทั่วทั้งโลกอย่างเป็นกระบวนการ...
แต่ก็นั่นแหละ...การวัดตัดสินชัยชนะและความพ่ายแพ้ในฉากเหตุการณ์ระดับ “สงคราม”นั้น มันคงไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรื่องของข้อมูล-ข่าวสารโดยลำพังล้วนๆ แต่ยังขึ้นอยู่กับยุทธศาสตร์ทางการเมือง การทหาร ไปจนการเศรษฐกิจ นั่นแหละเป็นหลัก แม้ว่า“ประธานสมาคมเสือกกิตติมศักดิ์”อย่าง “ผู้เฒ่าโจ ไบเดน” ประธานาธิบดีอเมริกัน ท่านจะออกมาเน้นย้ำอย่างภาคภูมิ ลำพอง ในช่วงการแถลงนโยบายที่เรียกว่า “State of the Union” เมื่อสองวันก่อน ว่าผู้นำรัสเซีย “ประเมินสถานการณ์ผิดพลาด”ในการตัดสินใจ“บุกยูเครน” โดยเฉพาะเมื่อต้องเจอกับการต่อต้านของผู้นำและประชาชน จนทำให้กองทัพรัสเซียไม่อาจเผด็จศึกยูเครนได้แบบ“ม้วนเดียวจบ” อีกทั้งยังอาจ “เจ๊ง...กับ...เจ๊ง”เมื่อเจอกับการ“แซงชั่นทางเศรษฐกิจ”แบบชนิดโหดสุดๆ ของอเมริกาและตะวันตก หรือทำให้ยูเครนไม่ต่างอะไรไปจาก“กับดักหมี”ไปโดยปริยาย...
แต่ในอีกด้านหนึ่ง...สำหรับใครที่มีโอกาสได้อ่านข้อเขียน บทความ ของ“นายเดวิด พี. โกลด์แมน” (David P. Goldman) เรื่อง “Russia’s strategy to destroy Ukraine army going to plan” ที่สำนักข่าว“ผู้จัดการ”ของหมู่เฮานำมาถ่ายทอดว่าด้วยเรื่องยุทธศาสตร์ของรัสเซียในการ“ทำลายกองทัพยูเครน”ที่กำลังดำเนินไปตามแผน เมื่อวัน-สองวันมานี้ ก็มีอะไรที่น่าคิด น่าสะกิดใจ อยู่พอสมควรเหมือนกัน เพราะโดย“เป้าหมาย”ของรัสเซียในการบุกยูเครน ตามที่ผู้นำหมีขาวได้เน้นย้ำไว้กับผู้นำจีนระหว่างพูดคุยทางโทรศัพท์ หรือกับโลกทั้งโลกว่าเพื่อที่จะ “Demilitarization”และ “De-Nazification”นั้น มันคงไม่น่าจะเป็นไปแบบ“ม้วนเดียวจบ”เอาง่ายๆ หรือคงต้องอาศัย“เวลา”ที่ยืดเยื้อยาวนานพอสมควร ถึงจะสามารถขจัดความเป็น “รัฐทางทหาร”หรือ“เครื่องมือทางทหาร” ของอเมริกาและตะวันตก รวมทั้งขจัดอิทธิพลของพวก“นีโอ-นาซี” ที่ฝังรากลึกอยู่ในกองทัพยูเครนและบรรดาผู้ใกล้ชนิดประธานาธิบดียูเครนเชื้อสายยิวรายนี้ ได้แบบเป็นเนื้อ-เป็นหนัง...
ยิ่งต้องมุ่งตรงไปยังพลังอำนาจทางทหาร หลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งต่อชีวิตและทรัพย์สินของพลเรือนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ การหันมา“ล้อมกรอบ”จุดยุทธศาสตร์สำคัญๆ ทางทหาร เพื่อนำไปสู่การศิโรราบแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ย่อมน่าจะได้ผลกว่าการคิดเผด็จศึกแบบ“ม้วนเดียวจบ” หรือการปะทะแบบตรงไป-ตรงมา หรือถือเป็นการ“Demilitarization”อย่างที่ได้ป่าวประกาศเอาไว้แล้วนั่นเอง ส่วนหลังจากนั้นจะ “De-Nazification”ไปถึงขั้นไหน ก็คงไม่ถึงกับลำบากมากมายสักเท่าไหร่ เพราะอิทธิพลของ“นีโอ-นาซี”ในยูเครนนั้น ก็มาจาก“อำนาจทางทหาร”นั่นแหละเป็นหลัก...
ส่วนในเรื่องการ“แซงชั่นทางเศรษฐกิจ”ถ้าดูจาก “ข่าวล่า-มาเรือ”ครั้งล่าสุด...แม้กระทั่งรัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกัน“นายแอนโทนี บลิงเคน”ยังต้อง“แฉลบออกข้าง” ต่อการตัดสินใจห้ามซื้อ-ห้ามขายสินค้าพลังงานจากรัสเซีย ด้วยเหตุเพราะการกระทำดังกล่าว อาจก่อให้เกิดความเจ็บปวดรวดร้าวต่ออเมริกาและพันธมิตรมากซะยิ่งกว่าต่อรัสเซียเอาเลยก็ไม่แน่ อันเนื่องมาจากการซื้อ-ขาย น้ำมัน แก๊ส และถ่านหินจากรัสเซีย โดยบรรดาประเทศยุโรปในทุกวันนี้ สูงถึงวันละ 700 ดอลลาร์เอาเลยถึงขั้นนั้น การที่จู่ๆ จะตัดขาดไม่ซื้อ-ไม่ขายกันอีกต่อไป ถ้าว่ากันตามความคิด ความเห็น ของหัวหน้าคณะผู้บริหารบริษัทน้ำมันเชลล์ ออยล์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก อย่าง“Pioneer Natural Resources” “นายScott Sheffield”โอกาสที่ “ราคาน้ำมัน”ทั่วทั้งโลกจะพุ่งขึ้นถึง 200 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในระยะเวลาอันใกล้ ย่อมเป็นไปได้สูงเอามากๆ และนั่นกลับจะทำให้ประเทศผู้ผลิตน้ำมันเป็นอันดับ 3 ของโลกอย่างรัสเซีย สบายบรื๋อ สะดือโบ๋ ยิ่งขึ้นไปอีก...
อีกทั้งการแซงชั่นทางเศรษฐกิจของประเทศที่ “เสพติดการแซงชั่น” อย่างอเมริกาในทุกวันนี้...ชักไม่ได้ก่อให้เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิพล อย่างที่หวังและต้องการมากมายสักเท่าไหร่ ยิ่งถึงขั้นต้องออกกฎหมายเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เช่นกฎหมายที่เรียกว่า“CAATSA” (Countering American Adversaries Trough Sanctions Act) เมื่อปี ค.ศ. 2017 เป็นต้นมา ด้วยข้อกำหนดในรายละเอียดของกฎหมายดังกล่าวนี่เอง ที่ทำให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศด้านกิจการเอเชียใต้ อย่าง “นายDonald Lu”ต้องให้การกับสภาคองเกรสเมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา ว่าสหรัฐฯ อาจต้องหันไป “แซงชั่น” พันธมิตรรายสำคัญในยุทธศาสตร์ “อินโด-แปซิฟิก”อย่างอินเดีย ที่คิดหันไปสั่งซื้อระบบป้องกันภัยทางอากาศ “S-400”จากรัสเซีย อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงไปเป็นอื่น และจะด้วยเหตุนี้หรือไม่ อย่างไร ก็ยากจะสรุปได้ แต่ก็ทำให้บรรดาชาวอินตะระเดียจำนวนไม่น้อย ไม่เพียงแต่พร้อมใจหันมาติด “แฮชแทก” ข้อความว่า “Stand With Russia”หรือ “Stand With Putin”ไปแทบทั้งประเทศ ยังเริ่มหันมาหาหนทาง “บายพาส” ในการประกอบธุรกรรมซื้อๆ-ขายๆ กับรัสเซีย อย่างเป็นระบบและเป็นกิจการอีกด้วย...
สรุปรวมความแล้ว...อาจต้องสรุปด้วยถ้อยคำที่ว่า “ถ้าหากสงครามยังไม่จบ...อย่าเพิ่งนับศพจำนวนทหาร”อะไรทำนองนั้น ยิ่งถ้าหากมองกันในระดับ “ป่าทั้งป่า”ไม่ใช่มองแค่ “ใบไม้ใบเดียว” ไม่ว่าจะเป็นใบไม้ในโดเนตสก์ ลูฮันสต์ หรือยูเครนก็ตาม หรือถ้ามองอย่างที่นักคิดรัสเซีย “นายFyodor Lukyanov”แห่งสโมสร “Valdai Club”หรือนักคิดชาวอิตาลี “นายFabio Massimo”แห่ง “Italian Institute Lorenzo de’ Medici” ว่าไว้...นี่ก็คือ “กุญแจสำคัญ”แห่งการ “เปลี่ยนระเบียบโลก”หรือการ “Liberate World Order” เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!