"โสภณ องค์การณ์"
ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ได้เป็นผู้ร้ายในสายตาของร้อยกว่าประเทศสมาชิกองค์การสหประชาชาติในการประชุมใหญ่ฉุกเฉินไม่กี่วันก่อน ซึ่งได้ลงมติรุมประณามรัสเซียในการส่งทหารบุกเข้ายูเครนและช่วงนี้ ได้โหมทุ่มกำลังทหารอย่างหนักเพื่อพิชิตศึกให้ได้
น่าเสียดายที่ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่รุมประณามรัสเซียจะเป็นเพราะเหตุผลอะไรหรือมีฝรั่งกี่ชาติมารุมบีบไข่ผู้นำประเทศไทยให้ประณามรัสเซียตามอย่างเค้าก็ยังไม่มีใครอธิบายได้ชัดเจน
ไทยไม่เคยมีปัญหาอะไรกับรัสเซียและในประวัติศาสตร์มีหลักฐานพิสูจน์ชัดเจนว่ารัสเซียนี่แหละเป็นประเทศเดียวที่ขัดขวางไม่ให้ชาติล่าอาณานิคมอย่างเช่นอังกฤษและฝรั่งเศสมาแบ่งแยกประเทศ คือยึดครองตามแนวของแม่น้ำเจ้าพระยา
ผู้นำรัสเซียวลาดิเมียร์ ปูตินได้เคยเข้าเฝ้าในหลวงรัชกาลที่เก้าและนำแบบอย่างของเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในรัสเซียทำให้ผลิตอาหารได้เพียงพอสำหรับคนทั้งประเทศเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น
ทำไมประเทศไทยจึงเปลี่ยนจุดยืนหลังจากที่ทูตสวีเดนได้ส่งหนังสือถามว่าใครจะมีจุดยืนที่ชัดเจนกว่านี้หรือไม่ หรือเป็นเพราะมีชาติมหาอำนาจที่เป็นหัวโจกในองค์การนาโต้และประชาคมยุโรปมาบีบบังคับไทย ถ้าเป็นเช่นนั้นอยากจะรู้ว่าเอาเงื่อนไขอะไรมาอ้าง
รัฐบาลไทยทำไมเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็วโดยไม่ปรึกษากลุ่มประเทศอาเซียนหรือ ถ้าประเทศไทยมีอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนแท้จริงก็ต้องแสดงให้เห็นว่าเรามีอิสระในการเลือกว่าเราจะยืนอยู่ตรงไหนในความขัดแย้งของรัสเซียและยูเครน
การไปร่วมประณามรัสเซียครั้งนี้เท่ากับว่าเราอยู่ตรงข้ามกับรัสเซียและเห็นดีเห็นงามกับฝ่ายโลกตะวันตกที่รุมประณาม และฝ่ายองค์การนาโต้รวมทั้งประชาคมยุโรปที่กำลังเปิดสงครามเศรษฐกิจและส่งอาวุธให้ยูเครนเพื่อให้รัสเซียมีภาระหนักกว่าที่เป็นอยู่ในการชนะศึกครั้งนี้
องค์การนาโต้เป็นเรื่องของการทหาร ประชาคมยุโรปเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ แต่ทั้งสองกลุ่มเป็นชาติเดียวกันแต่รับสองบทบาทในการรุมกินโต๊ะรัสเซียครั้งนี้ทำให้ปูตินถูกโดดเดี่ยวจากสังคมโลกและต้องรับศึกเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศนอกเหนือจากสงครามกับยูเครน
ต้องไม่ลืมว่ารัสเซียเป็นหนึ่งเดียวในยุโรป นอกจากตุรกีที่ให้คนไทยเข้าประเทศโดยไม่ต้องใช้วีซ่า นอกจากนั้นล้วนแต่ตั้งเงื่อนไขสารพัดทั้งในยุโรปและสหรัฐกว่าคนไทยจะเข้าประเทศได้ต้องผ่านพิธีกรรมและค่าใช้จ่ายมากมาย
เมื่อไทยตัดสินใจประณามรัสเซีย รัฐบาลก็ต้องอธิบายให้คนไทยเข้าใจว่าทำไมถึงเลือกแนวทางอย่างนั้น เราจะไม่เป็นกลางแต่เลือกข้างเช่นนั้นหรือทั้งที่ก่อนหน้านี้เรามีแนวทางสายกลางไม่เข้าข้างใครเพราะเราเป็นเมืองพุทธไม่ส่งเสริมความรุนแรง
มีอะไรต้องเสียหายมากมายหรือถ้าหากว่าประเทศไทยงดออกเสียงซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดนอกจากการไม่เข้าร่วมประชุม มีใครจากชาติไหนใช้อิทธิพลบีบบังคับผู้นำรัฐบาลไทยให้ต้องเลือกทางเดินเช่นนี้หรือ
และเราจะตอบคำถามของ รัสเซียได้อย่างไร ก่อนหน้านี้เราก็ยังไม่สามารถตอบคำถามให้ประเทศจีนได้ว่าทำไมเราจึงเลือกข้างอเมริกาในแผนปิดล้อมจีนซึ่งได้ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมด้านการเมืองระหว่างประเทศและเศรษฐกิจต่อเราอย่างมาก
เพียงแต่ผู้นำรัฐบาลไทยไม่กล้าตอบคำถามให้คนไทยได้รับรู้เรื่องท่าทีและการเลือกข้างเพราะถ้าจะย้อนดูแล้วประเทศไทยไม่เคยได้ประโยชน์อะไรมากจากสหรัฐ แต่ไทยถูกใช้เป็นฐานทัพเกือบจะทั่วภาคกลางและอีสานให้สหรัฐทำสงครามในเวียดนาม ลาวและกัมพูชากว่า 10 ปี
สหรัฐฯ ได้เข่นฆ่าประชาชนในสามประเทศอย่างมากมายโดยที่เราต้องร่วมรับบาปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทุกวันนี้ก็ใช่ว่าประเทศเหล่านั้นจะลืมความเจ็บปวดและบทบาทของไทยที่ได้เป็นมือไม้ให้ฝรั่งผิวขาวจากแดนไกลไปเข่นฆ่าเพื่อนบ้านของเราอย่างโหดร้ายสิ้นความปราณี
ทั้งสหรัฐฯ และประชาคมยุโรปเคยใช้มาตรการกีดกันทางเศรษฐกิจกับประเทศไทยหลายครั้งสร้างปัญหาทั้งในช่วงการโจมตีค่าเงินบาท มีแต่จีนและรัสเซียที่พร้อมจะช่วยไทยในยามลำบาก แต่ฝรั่งผิวขาวยุโรปและสหรัฐฯ กลับมากอบโกยทรัพย์สินแผ่นดินจากการล่มสลายของเศรษฐกิจในการลดค่าเงินบาท
แม้ว่ารัสเซียต้องเผชิญกับปัญหาสารพัดแต่ก็เชื่อได้ว่าจะไม่ยอมถอนตัวจากสงครามกับยูเครนในสภาพของผู้แพ้ และวิกฤติยังจะมีอย่างต่อเนื่องด้านราคาพลังงานและเศรษฐกิจโดยรวม อยากจะรู้ว่าถ้าเราต้องการความช่วยเหลือใครจะยื่นมือมาให้เมื่อเราทำตัวออกห่างจากทั้งจีนและรัสเซีย
ในยุคก่อนการทูตแบบไทยถูกเยาะหยันว่าเป็นแบบ “Siamese talk” เป็นคำพูดที่เชื่อถือไม่ได้แม้จะเป็นวิธีที่เราเอาตัวรอดมาจากวิกฤติและสงครามหลายรอบก็ตาม แต่ครั้งนี้เราจะถูกมองว่าเป็นเช่นนั้นอีกหรือ
อยากรู้ว่าถ้าประเทศไทยงดออกเสียงเหมือนกับอีกหลายประเทศจะมีใครกล้ามายืนชี้หน้าด่าหรือประณามเราหรือไม่ และการเปลี่ยนท่าทีเช่นนี้ยังจะมีใครเคารพในความเป็นอิสระแนวนี้อีกหรือ
เราอาจจะเป็นเหมือนตัวตลกแบบผู้นำยูเครนที่ป่าวร้องให้คนชาติอื่นเข้าไปช่วยรบและยอมตายเพื่อชาติยูเครน ขณะที่คนยูเครนกว่าล้านคนได้อพยพหนีตายไปอยู่ประเทศเพื่อนบ้าน เป็นที่คาดว่าคนยูเครนเกือบ 10 ล้านคนจะหนีออกนอกประเทศ เพื่อไปหาชีวิตที่ดีและปลอดภัยกว่า
จริงอยู่การตัดสินใจลงคะแนนเสียงประณามรัสเซียเป็นผลงานของรัฐบาลแต่ประชาชนไทยต้องตากหน้ารับผลพวงของอะไรก็ตามที่จะมาในอนาคตเพราะการทูตที่เปลี่ยนท่าทีและการตัดสินใจเลือกคบเพื่อนในลักษณะเช่นนี้
เราคบเพื่อนไกลบ้าน ขณะที่ใกล้บ้านของเรามีชาติมหาอำนาจซึ่งมีเพื่อนเป็นชาติมหาอำนาจเช่นกันกำลังถูกเล่นงานโดยฝรั่งผิวขาวโลกตะวันตก ทำให้เราต้องระวังว่าจากนี้ไปเราจะเผชิญกับอะไรและคำถามที่สำคัญคือ เราจะมีมิตรแท้ซึ่งเป็นชาติมหาอำนาจหรือไม่
นั่นเพราะเราอยู่แบบเป็นกลางไม่ได้แล้ว หลังจากการตัดสินใจประณามรัสเซีย และเราจะหวังว่าจะมีใครเข้าใจว่าทำไมเราจึงเลือกเส้นทางนั้นได้อีกหรือ