xs
xsm
sm
md
lg

ไฟที่เร่าร้อนของคนหนุ่มสาว การเปลี่ยนแปลงที่ยากจะทัดทาน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หนี่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ

กงล้อแห่งกาลเวลายังคงหมุนไปข้างหน้าไม่หยุดนิ่งตามการหมุนรอบตัวเองของโลกในระบบสุริยะจักรวาล ความท้าทายต่อระบอบเดิมในวันนี้ยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องและเคลื่อนตัวเร็วและแรงจนยากจะทัดทานได้ ความคิดของคนรุ่นใหม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฝ่ามือและไม่ยอมประนีประนอมใดๆ

พวกเขาแสดงตัวอย่างเปิดเผย เคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยในที่สาธารณะในประเด็นที่ท้าทายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เรารู้ว่า คนรุ่นใหม่ที่เรียกร้องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเพียงการยกเอาการ “ปฏิรูป” มาบังหน้า แต่แท้จริงมีเป้าหมายที่มากกว่านั้น ไม่รู้หรอกว่าความคิดแบบนี้ในคนรุ่นใหม่จะมีมากเท่าไรในเชิงปริมาณ แม้ว่าคนที่แสดงออกและเคลื่อนไหวจะเป็นเพียงคนกลุ่มหนึ่งที่เจ้าหน้าที่รัฐจับตาการเคลื่อนไหวอยู่ เราไม่รู้หรอกว่า คนรุ่นนี้ทั้งเจนเนเรชั่นส่วนใหญ่นั้นมีความคิดอย่างไร แต่เราสัมผัสถึงคลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลงที่ระอุอยู่ในบรรยากาศของสังคมได้

กงล้อแห่งการเวลากำลังหมุนวนเป็นกงจักรพร้อมจะทำลายล้างทุกอย่างให้ภินท์พังลง พวกเขาเชื่อว่านั่นจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าการปล่อยให้ระบอบเก่ายังคงดำรงอยู่

คนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งบอกว่า การที่บ้านเมืองมีสภาพแบบนี้ นั่นหมายถึงเขาคิดว่าควรจะมีอะไรที่มากกว่านี้ อาจจะพูดลงรายละเอียดไม่ได้หรอกว่าที่บ้านเมืองเป็นอยู่นี้ไม่ดีอย่างไร แต่เขาก็พูดด้วยคำใหญ่ๆ กว้างๆ แบบไม่ต้องหาหลักฐานมายืนยันได้เช่น ไม่เป็นประชาธิปไตย เผด็จการ ทุจริตคอร์รัปชั่น เล่นพรรคเล่นพวก การศึกษาล้มเหลว ไม่ปฏิรูป ไม่มีสวัสดิการที่ดี ฯลฯ

แม้ทุกเงื่อนไขจะมีความซับซ้อนและเหตุผลที่อธิบายได้ แต่การยกมาเป็นข้ออ้างพวกเขาก็ไม่ต้องการคำอธิบาย แน่นอนสิ่งที่พวกเขาพูดก็ถูกหมด แล้วก็โทษว่าเพราะคนรุ่นเก่าที่ปกครองบ้านเมืองและมีอำนาจตัดสินชะตากรรมของบ้านเมืองยังไงเล่าที่เป็นแบบนี้ และพวกเขามองว่าควรจะหมดเวลาของคนรุ่นนี้ที่จะนำพาชาติบ้านเมืองแล้ว และปล่อยให้บ้านเมืองอยู่ในมือของคนรุ่นใหม่อย่างพวกเขา

แม้วัยจะไม่ใช่ข้อที่ยกมาอ้างถึงความสำเร็จล้มเหลวประสิทธิภาพประสิทธิผลได้ ตอนนี้หลายประเทศนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีเต็มไปด้วยคนหนุ่มสาววัย 30กว่า 40 กว่าที่มีความรู้ความสามารถ แต่คนหนุ่มสาวเขาเชื่อว่าบ้านเมืองเราบริหารประเทศด้วยคนวัยเกษียณ ที่ไม่มีวิสัยทัศน์ในการนำพาชาติบ้านเมืองมาก่อน นอกจากอ้างเหตุผลความจำเป็นเรื่องความมั่นคง

ต้องยอมรับว่าผู้ใหญ่บางคนประสบความสำเร็จมากในการปลูกฝังความคิดในหมู่คนหนุ่มสาวให้เกลียดชังระบอบเก่าที่ดำรงอยู่ จนคนหนุ่มสาวเหล่านั้นไม่ยอมรับฟังเหตุผลและคำอธิบายใดๆอีก แม้ระบอบเก่ามันมีคุณค่าและความงามอยู่ในตัว เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพของสังคมและนำพาไทยให้อยู่รอดปลอดภัยมาทุกวันนี้ แม้มันจะมีความไม่ถูกต้องปรากฏให้เห็นอยู่บ้างก็สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องรื้อทิ้งทำลายรากฐานของมันลงไปแบบถอนรากถอนโคน

ผู้ใหญ่หลายคนใช้ชีวิตและอนาคตของเด็กเป็นเดิมพัน โดยที่ตัวเองหลบซ่อนอยู่เบื้องหลัง ทั้งที่หากเห็นว่า แนวทางที่ปลูกฝังเด็กๆ ถูกต้องก็ควรจะออกมาต่อสู้เคียงข้างกับพวกเขา เพราะผู้ใหญ่ย่อมมีอนาคตที่น้อยกว่า และจะสูญเสียน้อยกว่าอนาคตของคนหนุ่มสาว

การก้าวสู่อำนาจของ 3 ป.ด้วยการรัฐประหารนั้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกหนีได้ เพราะบ้านเมืองในขณะนั้นกำลังกลายเป็นรัฐล้มเหลว แต่ก็ไม่มีใครคาดหวังมาก่อนว่า รัฐประหารและรากของรัฐประหารจะหยั่งลึกยาวนานมาถึง 8 ปี และเขียนรัฐธรรมนูญให้มั่นใจว่าจะสืบทอดอำนาจไปได้ถึง 13 ปี นอกจากนั้นพวกเขายังเป็นคนที่เขียนยุทธศาสตร์ชาติให้บ้านเมืองอยู่ในสิ่งที่ต้องการให้เป็นไปอีก 20 ปี

ต้องยอมรับว่าความบกพร่องที่เกิดขึ้นความผิดพลาดล้มเหลวนั้นมีอยู่ เพราะศักยภาพอันจำกัดของคนที่เข้ามารับผิดชอบบ้านเมือง แต่ก็ต้องยอมรับเหมือนกันว่าไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรดีๆที่พวกเขาได้กระทำเลย ถ้าเราไม่มองเพียงที่มาของพวกเขาที่ปูทางมาให้ตัวเองขึ้นสู่อำนาจ

การสืบทอดอำนาจของ 3 ป.ถูกโยงใยไปไกลกว่านั้น ถึงความจำเป็นที่เชื่อมโยงกับความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ เมื่อยิ่งมีการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ที่มีเป้าหมายลิดรอนสถาบันพระมหากษัตริย์มากเท่าไหร่ เหตุผลของการดำรงอยู่ของ 3 ป.ก็ยิ่งเป็นความชอบธรรมมากขึ้น

ดูเหมือนกระบวนการทางกฎหมายจะสามารถจัดการกับการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ให้หยุดชะงักลง แม้จะไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงความคิดที่ถูกปลูกฝังมาของพวกเขา เพียงแต่ทำให้ทุกอย่างมันชะลอไปด้วยสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “นิติสงคราม” แต่ในแง่ของรัฐและฝ่ายความมั่นคงก็มีความชอบธรรมอยู่แล้ว เพราะไม่มีรัฐไหนในโลกนี้หรอกที่ยอมให้การเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบของรัฐกระทำได้โดยการอ้างเสรีภาพและระบอบประชาธิปไตย ต่อให้ประเทศนั้นเป็นประชาธิปไตยที่สุดในโลกก็ตาม

กระนั้นกระบวนการทางกฎหมายก็จัดการได้เฉพาะคนที่แสดงตัวออกมา แต่มีคนรุ่นใหม่อีกเท่าไหร่ที่เราไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงความเชื่อ หรือทำให้พวกเขารับฟังเหตุผลและความจำเป็นของการรักษาระบอบจารีตของสังคมเราไว้ได้ หรืออธิบายว่าแม้คนทุกคนจะมีสถานะต่างๆกันมีบทบาทต่างกันไม่มีวันที่ทุกคนจะมีสถานะหรือมีบทบาทเหมือนกันได้ แต่เราก็ตอบคำถามแบบกำปั้นทุบดินของพวกเขาว่า “คนเท่ากัน” ได้ยาก หรือต่อให้อธิบายได้พวกเขาก็ไม่เชื่อว่าทำไมคนต้องไม่เท่ากัน

ดังนั้นการรับมือกับคนรุ่นใหม่ด้วยอำนาจทางกฎหมายก็ไม่สามารถแก้ไขรากลึกของปัญหาได้ มีแต่จะทำให้รากยิ่งหยั่งลึกลงไป และนานวันก็ยิ่งยากจะแก้ไข

แม้ระบอบ 3 ป.จะอยู่ต่อไปได้อีกสมัยหรือครบ 20 ปีตามยุทธศาสตร์ชาติ แต่ก็ยากที่จะปฏิเสธเงื่อนไขของการดับไขไปตามกาลเวลา ยากที่ตั้งรับกับการเกิดขึ้นของคนรุ่นใหม่ที่ค่อยเติบโตมากขึ้นและเกาะกุมเอาความคิดที่ต้องการเปลี่ยนแปลงมาเป็นพลังในการขับเคลื่อนสังคมของพวกเขา ยิ่งใช้อำนาจมากแรงปรารถนาในใจของพวกเขาก็ยิ่งเป็นคลื่นที่โหมครืนครั่นรุนแรงขึ้น

หากความคิดของเขาไม่เปลี่ยนแปลงไปตามประสบการณ์ชีวิตที่มากขึ้น วันที่พวกเขากลายเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมพวกเขาก็จะกลายเป็นเสียงส่วนใหญ่ของสังคม วันนั้นกฎหมายก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย เพราะกฎหมายคือข้อตกลงของสังคมใหญ่ที่เห็นร่วมกัน สิ่งที่ตามมาก็คือ พวกเขาจะเป็นคนกำหนดระบอบของสังคมว่าควรจะเป็นอย่างไร

หรือเราได้แต่ภาวนาว่า วันที่พวกเขาเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น พวกเขาจะได้เรียนรู้ ทบทวน และเข้าใจสภาพของสังคมมากขึ้น ความจำเป็นและเหมาะสมของบ้านเมืองที่จะรักษาระบอบที่ดำรงอยู่เพื่อให้สังคมมีหลักยึดมากกว่าเอาบ้านเมืองไปฝากไว้กับนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่เขาเชื่อ

ถ้าถามว่าทางออกที่จะรับมือกับคลื่นแห่งกาลเวลาที่ครืนครั่นนั้นอย่างไร แม้ระบอบที่ดำรงอยู่จะเหมาะสมสอดคล้องกับสังคมไทยในสายตาคนรุ่นเราอย่างไร ปัญหาอาจจะอยู่ที่ตัวบุคคล แต่เราก็ต้องช่วยกันส่งสัญญาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสิ่งทีเป็นปัญหา คนรุ่นเราต้องทบทวนตัวเอง ผู้มีอำนาจต้องทบทวนตัวเอง เพื่อทำให้คนหนุ่มสาวเขาเห็นว่า สังคมนี้ยังมีความหวังที่จะฝากอนาคตไว้ได้

ปัญหาของคนหนุ่มสาวที่เร่าร้อนวันนี้นั้นอยู่ที่พวกเขาคิดว่า ความคิดและข้อเรียกร้องของพวกเขาเท่านั้นที่ถูกต้อง และต้องเปลี่ยนแปลงให้ได้ดังใจปรารถนาในที่สุด จนหลงลืมคุณค่าและจารีตที่เป็นรากฐานของสังคมไทยไป เอาความผิดพลาดของตัวบุคคลไปโทษระบอบ เพราะหลงชื่นชมอนาคตที่ยังมองไม่เห็น

ความเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นสัจจธรรมเสมอ การเกิดแก่เจ็บตาย ดำรงอยู่ สูญสลายนั้นเป็นเหตุปัจจัยที่ไม่มีวันจะหลีกเลี่ยงได้ แต่การดำรงอยู่หรือเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใดก็ต้องมีเหตุผลและความชอบธรรมเป็นเครื่องมือ ดังนั้นการดำรงอยู่และการเปลี่ยนแปลงไม่อาจจะเกิดขึ้นด้วยการทำลายล้างสิ่งนั้นให้หมดไปตามอารมณ์ใจปรารถนา

แต่สิ่งไหนหรือใครที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพของสังคมสุดท้ายก็จะไม่สามารถดำรงอยู่ได้และต้องล่มสลายไปในที่สุด

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น