ขณะที่ยังไม่ทราบชัด...ว่ากองทัพหมีขาวรัสเซีย เขาคิดจะ “บุกยูเครน” ตามวัน ว. เวลา น. ที่บรรดา “นักการเมืองอเมริกัน” ไม่ว่าไล่มาตั้งแต่ประธานาธิบดี ที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ฯลฯ รวมทั้งบรรดา “สื่อ” ตะวันตกทั้งหลาย ออกมาปูดข่าว โหมข่าว ว่ายังไงๆ...คงไม่เกินวัน-สองวันนับจากนี้??? แต่สำหรับรัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกัน “นายแอนโทนี บลิงเคน” (Antony Blinken) ที่ก็ถือเป็นหนึ่งในผู้ที่พยายามแพร่ข่าว กระจายข่าว ทำนองนี้อีกด้วยเช่นกัน กลับหันไปตะแล๊ดแต๊ดแต๋...อยู่แถวๆ หมู่เกาะแปซิฟิกใต้โน่นเลย!!! คนละซีกโลก คนละด้านและคนละม้วนกับ “แนวรบยุโรปตะวันออก” อย่างยูเครน แบบชนิด “คนละเรื่องเดียวกัน” อีกจนได้...
คือนอกเหนือไปจากกำหนดการที่ได้เดินทางไปเยือนออสเตรเลีย และเกาะฟิจิแล้ว เมื่อช่วงวันเสาร์ (12 ก.พ.) ที่ผ่านมา รัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกันรายนี้ ยังได้เปิดเผยไว้ด้วยว่า...รัฐบาลอเมริกันกำลังคิดหวนกลับไปเปิด “สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ” ประจำประเทศหมู่เกาะโซโลมอนซะอีกด้วย หลังจากที่เคยปิดสถานทูตแห่งนี้ไปเมื่อช่วงปี ค.ศ. 1993 แต่ด้วยเหตุเพื่อที่จะหาทาง “ต่อต้านจีน” กันโดยเฉพาะนั่นแหละทั่น โดยเฉพาะอภิมหาโครงการ “Belt and Road Initiative” ที่ค่อนข้างมาแรง แซงโค้งเอามากๆ ในพื้นที่แถบนี้ ถึงขนาดเมื่อช่วงปีที่แล้วเกิดการยุยงส่งเสริม ปลุกปั่นให้เกิดการลุกฮือของบรรดากลุ่มผู้ประท้วงชาวหมู่เกาะโซโลมอน เพื่อต่อต้านอิทธิพลของจีนในพื้นที่หมู่เกาะแห่งนี้ จนเกิดการเผาบ้าน เผาเมือง เผาร้านค้า ฉิบหายวายวอด กันไปมิใช่น้อย โดยถ้าหากว่ากันตามคำพูด คำจา คำแถลงต่อรัฐสภาของผู้นำประเทศหมู่เกาะโซโลมอน คือนายกรัฐมนตรี “Manasseh Sogavare” ก็น่าจะมาจากบุคคลภายนอก หรือจาก “The force of Evil” อันหมายถึงบรรดา “สายลับไต้หวัน” นั่นแหละเป็นหลัก...
แต่ก็ด้วยเหตุที่มันพอมี “เชื้อ” ของการ “ต่อต้านจีน” ในพื้นที่แห่งนี้นั่นเอง...รัฐบาลอเมริกันเขาเลยหวนกลับไปให้ความสนใจให้ความสำคัญต่อหมู่เกาะแห่งนี้ ถึงขั้นคิดกลับไปเปิดสถานทูตขึ้นมาใหม่ เพื่อที่จะหาทางดึงเอาบรรดาประเทศหมู่เกาะในแปซิฟิกใต้ ให้กลายมาเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ของอเมริกาในพื้นที่แถบนี้ ที่เรียกๆ กันว่า “Indo-Pacific Strategy” นั่นเอง การโหมข่าว โหมกระพือ เรื่องการบุกยูเครนของรัสเซียใน “แนวรบยุโรปตะวันออก” ไปพร้อมๆ กับการหันมาต่อต้านจีนอย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการใน “แนวรบทะเลจีนใต้” จึงอาจถือได้ว่า...รัฐบาลอเมริกันได้ตัดสินใจแบบเบ็ดเสร็จและเด็ดขาดแล้ว ที่จะ “เปิดศึก 2 ด้าน” ภายในเวลาเดียวกัน หรือพร้อมที่จะเล่นงานทั้งจีนและรัสเซีย ที่ได้จับไม้-จับมือเป็น “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” ระดับที่ “ไม่มีข้อจำกัด” ใดๆ อีกต่อไป เมื่อช่วงพิธีเปิดโอลิมปิกฤดูหนาว กรุงปักกิ่ง ที่เพิ่งผ่านมา...
แม้ว่าการ “เปิดศึก 2 ด้าน” ในลักษณะดังกล่าว...ออกจะเป็น “อันตราย” เอามากๆ สำหรับรัฐบาลอเมริกันหรือกองทัพสหรัฐฯ หรืออย่างที่ผู้เชี่ยวชาญทางทหารระดับอดีตผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพอเมริกัน “นายDavid T. Pyne” เคยออกมาเตือนสติเอาไว้ทำนองว่า “ฉากสถานการณ์เช่นนี้คือ...ฝันร้าย...ของกองทัพสหรัฐฯ” เอาเลยถึงขั้นนั้น หรือกระทั่งผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทางยุทธศาสตร์คนปัจจุบัน “พลเรือเอกChares Richard” ยังต้องสารภาพต่อสภาคองเกรส เมื่อช่วงเดือนเมษายนปีที่แล้ว ว่าเพนตากอนหรือกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ แทบไม่ได้เตรียมแผนการใดๆ ที่จะรับมือกับฉากสถานการณ์เช่นนี้เอาไว้เลย แต่ก็นั่นแหละ...อย่างที่ได้ว่าเอาไว้แล้วว่า ด้วย “ปัญหาภายใน” ของประเทศสหรัฐฯ เองในปัจจุบัน ทำให้แทบไม่อาจหา “ทางออก-ทางไป” หรือ “ทางรอด” ใดๆ ต่อไปอีกแล้ว นอกจากที่จะต้องโหมกระพือ ต้องเบี่ยงเบนความสนใจของผู้คนทั่วทั้งประเทศ ไปยัง “ศัตรูภายนอก” ให้เป็นอะไรที่น่าเกลียด น่ากลัวให้มากๆ เข้าไว้...
คือแค่เฉพาะปัญหาเศรษฐกิจเรื่องเดียว...ก็แทบตายแล้ว!!! ไม่ใช่แต่เฉพาะตัวเลข “หนี้สิน” ที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ เองเพิ่งแถลงไปเมื่อเดือนที่แล้ว ว่าพุ่งขึ้นไปถึง 30 ล้านล้านดอลลาร์ ชนิดกระทั่งอภิมหานักลงทุน ผู้ก่อตั้งกองทุน “Quantum Fund” อย่าง “นายJim Roger” ถึงกับต้องสรุปความเห็นเอาไว้ประมาณว่า... “อเมริกาไม่อาจลุกขึ้นมาจากหลุมเหล่านี้ได้อีกต่อไปแล้ว นอกเสียจากต้องนั่งรอและคอยให้เด็กๆ อเมริกันรุ่นต่อไป เป็นผู้หาทางแก้ปัญหาเหล่านี้กันเอาเอง...” นั่นยังไม่รวมไปถึง “ภาวะเงินเฟ้อ” ที่ทำให้กระทั่งระดับ “ธนาคารกลางสหรัฐฯ” ชักออกอาการ “ไปไม่เป็น” อีกด้วยเช่นกัน ยังไม่นับถึงปัญหาเสถียรภาพความมั่นคงภายในสังคม หรือภายในอารมณ์-ความรู้สึกของชาวอเมริกัน ที่ “กว่าครึ่ง” หรือถึงประมาณ 58 เปอร์เซ็นต์ที่ “ไม่เอา-ไบเดน” ตามโพลล่าสุดที่สำนักข่าว “CNN” เขาเพิ่งเปิดเผยเมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา...
อีกทั้งนอกจากไม่คิดจะ “เอา” ผู้นำประเทศ ไม่ให้ความยอมรับ ไม่เชื่อมั่น-ศรัทธาแล้ว...ถ้าย้อนกลับไปดูผลสำรวจความเห็นของหนังสือพิมพ์ “วอชิงตัน โพสต์” และมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี่เอง แทบไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อนั่นแหละว่า บรรดาอเมริกันชนถึง 1 ใน 3 หรือ 38 เปอร์เซ็นต์ เห็นว่าการใช้ “ความรุนแรง” ในการต่อต้านรัฐบาลตัวเองนั้น ถือเป็น “ความชอบธรรม” ที่มิอาจปฏิเสธ อีกทั้งการแสดงออกถึง “ความรุนแรง” ของบรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย ไม่ว่าจะออกไปทาง “ขวาจัด” หรือ “ซ้ายจัด” แต่ต่างก็มี “อาวุธปืน” อยู่ในมือไปด้วยกันทั้งสิ้น คงไม่ใช่แค่การกู่ก้องร้องตะโกน ไปตามถนนหนทางกันไปเรื่อยๆ อยู่แล้วแน่ๆ มันเลยถึงทำให้แค่เฉพาะช่วงต้นปีที่ผ่านมา ถึงกับมีนักคิด-นักเขียนชาวอเมริกันถึง 2 ราย ที่ค่อนข้างเห็นพ้องต้องกันว่า โอกาสที่จะเกิด “สงครามกลางเมืองครั้งใหม่” ในสหรัฐฯ กำลังใกล้เข้ามาเต็มที...
ไม่ว่าจะเป็น “Barbara F. Walter” ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย และที่ปรึกษา “CIA” ที่ได้เขียนหนังสือเรื่อง “How Civil Wars Start” ออกมาเผยแพร่เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา เช่นเดียวกับ “Stephen Marche” ด็อกเตอร์ผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมแห่งมหาวิทยาลัย “King’s College” ที่ได้เขียนหนังสือเรื่อง “The Next Civil War” ออกมาเผยแพร่ในช่วงเวลาใกล้ๆ กัน หรือแม้แต่กระทั่งอภิมหาเศรษฐีระดับพันล้าน อย่าง “นายRay Dalio” ผู้ก่อตั้งกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก อย่าง “Bridgewater” ก็เห็นไปในแนวเดียวกัน จนต้องออกมาพูด ออกมาเตือน ไม่ต่างอะไรไปจากอดีตผู้นำประเทศ หรืออดีตประธานาธิบดี “จิมมี คาร์เตอร์” แห่งพรรคเดโมแครตเองนั่นแหละ ที่ถึงกับต้องร่างเรียงข้อเขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ “นิวยอร์ก ไทมส์” เมื่อช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ว่าประเทศอเมริกาทั้งประเทศกำลังไต่ไป-ไต่มาอยู่ ณ ริมขอบเหวที่ “กว้างและลึกที่สุด” ฯลฯ ฯลฯ...
ดังนั้น....ภายใต้สภาพเช่นนี้ ยิ่งทำให้การ “เปิดศึก 2 ด้าน” กับ “มหาอำนาจคู่แข่ง” ที่หันมาร่วมหัว-จมท้ายจนเกิดสภาวะแบบที่อดีตทูตอินตะระเดีย (M.K Bhadrakumar) ท่านสรุปเอาไว้ประมาณว่า... “ประสิทธิภาพแห่งความเป็นมิตรระหว่างรัสเซียและจีน ทำให้ผลรวมแห่งอำนาจทั้งสองอยู่ในระดับใกล้เคียงสหรัฐฯ หรือกระทั่งอาจแซงหน้าอำนาจอเมริกาด้วยซ้ำ ในช่วงเวลาไม่ใกล้-ไม่ไกล” จึงเป็นอะไรที่ยิ่ง “อันตราย” หนักขึ้นไปใหญ่ ชนิดที่แม้แต่ “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” ของคุณพ่ออเมริกา อย่างอิสราเอล โดยนักคิด-นักเขียน คอลัมนิสต์แห่ง “Jerusalem Post” อย่าง “นายSeth J. Frantzman” ยังอดไม่ได้ที่ต้องตั้งคำถาม ตั้งข้อสังเกต เอาไว้ในข้อเขียน บทความชิ้นล่าสุด เมื่อวันวานที่ผ่านมานี่เอง ถึงขั้นว่า...“Could Ukraine crisis lead to new world order that impacts Israel?” หรือไปๆ-มาๆ การเผชิญหน้าระหว่างอเมริกาและพันธมิตรตะวันตกกับหมีขาวรัสเซีย ในกรณี “วิกฤตยูเครน” ไม่เพียงแต่อาจนำไปสู่ “ระเบียบโลกแบบใหม่” แต่ยังอาจส่งผลกระทบต่อประเทศอิสราเอล หรือไม่? อย่างไร? ก็ยังไม่แน่!!!
หรือสรุปง่ายๆ ว่า...ความพยายามจัดสร้าง “ระเบียบโลก” ที่มีคุณพ่ออเมริกามีฐานะเป็น “ประมุขโลก” (Hegemony) หรือ “ตำรวจโลก” (Global Policeman) มาตั้งแต่ยุคอดีตประธานาธิบดี “จอร์จ ดับเบิลยู. บุช” แต่สุดท้าย...เมื่อต้องประสบกับความพ่ายแพ้และล้มเหลวคราวแล้ว คราวเล่า ไม่ว่าในโซมาเลีย อิรัก จนมาถึงอัฟกานิสถาน ฯลฯ อันถือเป็นตัวสะท้อนว่าพลังอำนาจของอเมริกายังคงไม่พร้อม ไม่เพียงพอ ที่จะดำรงรักษาระเบียบชนิดนี้เอาไว้ได้ การท้าทายพลังอำนาจของสหรัฐฯ ไม่ว่าโดยความร่วมมือ-ร่วมใจระหว่างจีนและรัสเซีย...หรือเผลอๆ อาจแถมอิหร่านและตุรกี ฯลฯ ควบคู่ไปด้วย จึงไม่เพียงแต่อาจนำมาซึ่งอุบัติการณ์ใหม่ๆ หรือนำมาซึ่ง “ระเบียบโลกแบบใหม่” แต่ยังอาจก่อให้เกิดปัญหากับ “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” ของอเมริกา คืออิสราเอล ที่หนีไม่พ้นต้องเผชิญหน้ากับศัตรู คู่กัด คู่อาฆาต อย่างอิหร่าน ชนิดมิอาจหลีกเลี่ยงได้เลย...