คำว่า ศาสนา ตามนัยแห่งวิชาศาสนาเปรียบหมายถึงองค์กร ซึ่งมีองค์ประกอบ 5 ประการคือ
1. มีศาสดา คือ ผู้ก่อตั้งหรือผู้คิดค้นคำสอน และทำการเผยแผ่คำสอน
2. มีสาวก คือ ผู้ฟังคำสอน และปฏิบัติตามคำสอน ซึ่งมีทั้งนักบวชและคฤหัสถ์
3. มีคัมภีร์ คือ ตำรารวบรวมคำสอนไว้อย่างเป็นระบบ
4. มีพิธีกรรมในรูปแบบต่างๆ แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความเชื่อวัฒนธรรม และประเพณีของผู้คนในสังคมนั้นๆ
5. มีสถานที่ประกอบพิธีกรรม เช่น โบสถ์ เป็นต้น
แต่ความหมายตามตัวอักษรของคำว่า ศาสดา ได้แก่คำสอนของศาสดาแห่งศาสนานั้นๆ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ระดับคือ
1. ระดับวัฒนธรรมสำหรับปกติชนคนธรรมดาศึกษาเรียนรู้ และนำไปปฏิบัติเพื่อให้การอยู่บ้านกันในสังคมเป็นไปด้วยความสงบสุข ได้แก่ ศีล 5 และธรรมเบื้องต้นเช่น ขันติ เมตตา และกรุณา เป็นต้น
ในทางพุทธศาสนาเรียกคำสอนระดับนี้ว่า ขั้นสมมติสัจจะ คือ คำสอนที่ยอมรับสิ่งสมมติว่าเป็นความจริง และสอนคล้อยตามสิ่งสมมตินั้น
2. ขั้นสูงสุดสำหรับผู้ที่ศึกษา และนำไปปฏิบัติเพื่อเข้าความจริงขั้นสูงสุด (Ultimate Reality) หรืออันติมสัจ ได้แก่ การเข้าถึงนิพพานในพุทธศาสนา และเข้าถึงพระเจ้าและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในศาสดาประเภทเทวนิยม พระพุทธศาสนา เรียกคำสอนระดับนี้ว่าปรมัตถสัจจะ
ศาสนาเป็นกติกาสังคมที่คนส่วนใหญ่ยอมรับนับถือ ด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ดังนั้น คนที่มีศาสนาและปฏิบัติตามคำสอนอย่างเคร่งครัด จึงทำให้ผู้คนในสังคมอยู่รวมกันเป็นปกติสุขได้ เพราะคนที่นับถือศาสนา และปฏิบัติตามคำสอน โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นข้อห้ามหรือศีลจะไม่ทำผิดกฎหมาย เพราะกฎหมายก็คือศีลธรรมที่ถูกเขียนขึ้นเป็นตัวอักษร ส่วนศีลธรรมก็คือ กฎหมายอันเกิดจากมโนธรรมหรือสามัญสำนึก
ดังนั้น ถ้าสังคมใดผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมนับถือศาสนา และเคร่งครัดในคำสอน ไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายหรือมีไว้เท่าที่จำเป็น เพื่อป้องกันคนไม่มีศีลธรรมก็พอแล้ว
แม้ประเทศคอมมิวนิสต์ที่ปกครองประเทศตามแนวทางของมาร์กซ์ เช่น ประเทศจีน ไม่นับถือศาสนาใดๆ แต่ก็ใช้หลักคุณธรรมควบคู่กับกฎหมายปกครองประเทศ และคุณธรรมที่ผู้นำจีนนำมาใช้ในการปกครองประเทศ ก็ล้วนแล้วแต่มาจากนักปราชญ์จีนในอดีต รวมถึงคำสอนของศาสนาพุทธด้วย ดังนั้น จึงอนุมานได้ว่า ประเทศคอมมิวนิสต์เฉกเช่นจีนก็นับถือคำสอนของศาสดาโดยปรนัย แต่ในทางนิตินัยปฏิเสธการมีศาสนาในส่วนของพิธีกรรมเท่านั้น
แต่ในปัจจุบันมีคนไทยบางคนหรือบางกลุ่ม ได้ประกาศว่าตนเองไม่นับถือศาสนา และแสดงพฤติกรรมในทำนองต่อต้านศาสนา และสถาบันเบื้องสูงอันเป็นเอกลักษณ์ของประเทศ บางคนถึงขั้นล่วงละเมิดกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับศาสนา และสถาบันเบื้องสูงเพียงเพื่อสนองอุดมการณ์ และความเชื่อของตนซึ่งสวนทางกับความเชื่อของคนส่วนใหญ่ จึงกลายเป็นคนส่วนน้อยที่คนส่วนใหญ่ปฏิเสธการอยู่ร่วมกัน และถ้าไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม คงจะอยู่ในสังคมไทยได้ยาก