ปิดฉากสัปดาห์นี้...เพื่อไม่ให้ต้องเสียเวลา “ปวดกบาล” กับเรื่องประเภทการบุก-ไม่บุกยูเครนของกองทัพรัสเซีย เพราะไม่ว่าบุก-ไม่บุก แนวโน้มที่คงต้อง “ปวดหัวตายห่า” ต่อไปเรื่อยๆ น่าจะมีสูงเอามากๆ เนื่องจากฝ่ายคุณพ่ออเมริกาและนาโตท่านได้แบะท่าออกมาค่อนข้างชัดเจนแล้ว ว่าคงไม่คิดจะเอาด้วยกับ “ข้อเสนอ” ของฝ่ายหมีขาว ที่เรียกร้องต้องการไม่ให้เกิดการขยายเขตอิทธิพลของฝ่ายตะวันตก เข้าไปประชิดติดพันพรมแดนรัสเซีย ดังนั้น...ไม่ว่าฝ่ายรัสเซียจะแก้หมาก แก้เกม ด้วยกรรมวิธีใดๆ ก็แล้วแต่ จะบุก-ไม่บุก หรือจะแอบแวบเข้าไปติดตั้งบ้องข้าวหลามยักษ์อยู่ที่หน้าปากประตูบ้านคุณพ่ออเมริกาไว้มั่ง ทุกสิ่งทุกอย่าง...คงหนีไม่พ้นต้อง “บวดหัว” ชนิด “ยาบวดหาย” ก็คงเอาไม่อยู่ไปด้วยกันทั้งสิ้นทั้งปวงนั่นแล...
ด้วยเหตุนี้...เพื่อพอให้คลายๆ สบายๆ ลองเปลี่ยนบรรยากาศไปฟังผู้ที่มีสถานะออกไปทางกลางๆ ประเภทไม่คิดจะเข้าใคร-ออกใคร อย่างเช่นท่าน “เลขาธิการสหประชาชาติ” “นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส” (Antonio Guterres) ที่เพิ่งสืบทอดตำแหน่งเป็นสมัยที่ 2 อาจเป็นอะไรที่พอช่วยให้เกิด “สติและปัญญา” ในการมองโลก มองความเป็นไปของปัญหาต่างๆ ที่ชักจะหนักข้อยิ่งเข้าไปทุกที เพราะเมื่อช่วงปีที่แล้วนี่เอง...ที่ท่านได้พยายามออกมาเตือนๆ ใครต่อใครเอาไว้ประมาณว่า แนวโน้มการเผชิญหน้า การแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ และยุทธศาสตร์การทหาร ของบรรดา “มหาอำนาจ” ทั้งหลายนั้น อาจก่อให้เกิด “สงครามเย็นยุคใหม่” ที่ออกจะ “อันตราย” กว่ายุคเท่าที่ผ่านมาเอาเลยก็ไม่แน่!!!
คือในยุคอดีต...หรือยุคที่ “มหาอำนาจฝ่ายทุนนิยม” อย่างคุณพ่ออเมริกากับ “มหาอำนาจสังคมนิยม” อย่างสหภาพโซเวียตเขาพยายามแข่งขัน เอาชนะ ซึ่งกันและกัน จนโลกทั้งโลกต้องถูกแบ่ง ถูกแยก ออกไปเป็น 2 โลก 2 ฝ่าย ในสายตา ทัศนะและมุมมองของเลขาฯ สหประชาชาติรายนี้ เผลอๆ...มันอาจ “อันตราย” น้อยกว่าโลกยุคปัจจุบัน อันเนื่องมาจากการแบ่งข้าง เลือกข้างออกเป็นแต่ละฝ่ายนั้น เป็นอะไรที่ค่อนข้าง “ชัดเจน” ในแง่ความแตกต่างของแต่ละฝ่าย คือขณะที่ฝ่ายหนึ่งเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นอำนาจนิยม อีกฝ่ายก็ยืนหยัดในความเป็นทุนนิยม เป็นประชาธิปไตย แบบชนิดแยกขาว แยกดำ ไปคนละข้าง คนละเรื่อง คนละม้วน โดยที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็รับรู้ถึงหายนะจากอำนาจการทำลายล้างของแต่ละฝ่าย จนทำให้เกิดความระมัดระวัง เกิดความพยายามควบคุมบทบาทนโยบายต่างๆ ไม่ให้บรรดาความขัดแย้งทั้งหลาย ลุกลามบานปลาย จนอาจกลายเป็น “สงครามนิวเคลียร์” ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ อย่างเช่นความพยายามระงับยับยั้ง “วิกฤตคิวบา” หรือ “วิกฤตแคริบเบียน” เมื่อช่วงปีค.ศ. 1962 ของอดีตประธานาธิบดีอเมริกัน “นายจอห์น เอฟ. เคนเนดี” และอดีตประธานาธิบดีโซเวียตรัสเซีย “นายนิกิต้า ครุสชอฟ” ตามที่เคยยกตัวอย่างไปมั่งแล้ว...
แต่สำหรับโลกทุกวันนี้...นอกจากทุกสิ่งทุกอย่างจะออกไปทาง “พร่ามัว” เพราะต่างฝ่ายต่างทำมาหารับประทานกับความเป็นทุนนิยมไปด้วยกันทั้งสิ้น การนำเอา “บทเรียน” หรือ “ประสบการณ์” จากยุคก่อนๆ มาใช้กับยุคนี้ ยังเป็นอะไรที่ออกจะลำบากเอามากๆ เนื่องจากฉากสถานการณ์ต่างๆ มันเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแบบแทบจะโดยสิ้นเชิง ดังนั้น...เมื่อช่วงวันศุกร์ (21 ม.ค.) ที่เพิ่งผ่านมานี่เอง เลขาธิการสหประชาชาติรายนี้ ท่านเลยอดไม่ได้ที่จะออกมาบ่น ออกมาระบาย กับสำนักข่าวเอพีถึงขั้นว่า...โลกทุกวันนี้กำลังสับสนอลหม่าน ระดับที่ “คาดเดาแทบไม่ได้” อีกต่อไปแล้ว หรือเป็นโลกที่ “อันตราย” กว่าโลกยุคสงครามเย็นไปซะอีกต่างหาก เพราะด้วย “ความคาดเดาแทบไม่ได้” นี่เอง ที่อาจทำให้ “สงครามเย็นยุคใหม่” กลายเป็น “สงครามร้อน” ได้ทุกเมื่อ แถมแต่ละฝ่ายยังขาด “เครื่องมือ” ที่จะนำมาใช้รับมือกับ “วิกฤต” ได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องต่อฉากสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม...
แม้ว่าท่านเลขาธิการสหประชาชาติ...ท่านค่อนข้างที่จะไม่เชื่อ ว่ามหาอำนาจอย่างรัสเซียคิดจะ “บุกยูเครน” ตามที่คุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรตะวันตก พยายามโหมประโคมข่าวอยู่ในช่วงระยะนี้ แต่ด้วยเหตุที่โลกทั้งโลก...นับวันจะถูกทำให้ต้องแบ่งข้าง เลือกข้าง แบ่งฝ่าย เลือกฝ่าย ไม่ต่างอะไรไปจากยุคสงครามเย็นเมื่อครั้งอดีต แถมยังก่อให้เกิดความสับสนอลหม่าน ยิ่งไปกว่าครั้งก่อนๆ ไม่ว่าการยื้อแย่ง แข่งขัน กันในทางเศรษฐกิจ การอาศัยกฎระเบียบต่างๆ เอาแพ้-เอาชนะซึ่งกันและกัน ด้วยการกีดกัน ทำลายฝ่ายตรงกันข้าม ไปจนกระทั่งความพยายามครอบงำระบบการเงินโลก ระบบการสื่อสารดิจิทัลและอินเทอร์เน็ต การเอาชนะคะคานกันในทางเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เองที่ท่านเห็นว่า ล้วนนำมาซึ่ง “ต้นทุน” ของแต่ละฝ่าย ทั้งๆ ที่ควรจะลดต้นทุนต่างๆ ด้วยความร่วมมือ-ร่วมใจ ด้วยการสร้างเอกภาพให้กับตลาด ให้กับระบบเศรษฐกิจโลก แต่ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะไหลไปในทิศทางตรงกันข้ามยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...
ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ท่านเลขาธิการสหประชาชาติรายนี้ ท่านเลยสรุปว่าท่านเริ่มมองเห็น “สัญญาณแห่งอัคคีภัย” ที่จะเกิดกับโลกในอนาคตเบื้องหน้า ค่อนข้างชัดเจนยิ่งเข้าไปทุกที ไม่ว่าตั้งแต่ภาพสะท้อนแห่ง “ความไม่เท่าเทียมกัน” ในรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระหว่างประเทศรวย-ประเทศจน ภาวะความเป็นไปของเศรษฐกิจโลก ที่มุ่งเอารัด-เอาเปรียบคนยากคนจนอย่างไม่คิดจะปรับปรุง เปลี่ยนแปลงไปในแนวอื่น แนวโน้มความไม่เอาจริง-เอาจัง หรือไม่มุ่งมั่นพยายามเพียงพอ ในการร่วมมือแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ ไปจนถึงความป่าเถื่อนละโมบโลภมาก ที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในพรมแดนดิจิทัล ซึ่งมุ่งแสวงหากำไรจากความแตกแยก ฯลฯ บรรดาอัคคีภัยเหล่านี้นี่เอง...ที่ท่านเลขาฯ สหประชาชาติท่านเชื่อว่า กำลังเป็นตัวบ่อนทำลายศรัทธาและความเชื่อ ต่อสถาบันที่เคยให้คุณค่าอันเป็นที่ยอมรับ...
ดังคำพูดประโยคที่ว่า... “ทุกๆ ซอกมุมของโลกทุกวันนี้ เราจะเห็นถึงความเสื่อมของคุณค่าต่างๆ ที่เราเคยใช้เป็นหลักยึด เคยนำมาซึ่งความเท่าเทียมและความยุติธรรม ความร่วมไม้-ร่วมมือและความเคารพซึ่งกันและกัน ดังนั้นเมื่อคุณค่าเหล่านี้กำลังเสื่อมไป สูญหายไป ความไม่ยุติธรรม ความไม่เท่าเทียมกัน ความไม่เชื่อถือ-ศรัทธา การเหยียดผิว เหยียดเผ่าพันธุ์และความลำเอียง...จึงกำลังกลายเป็นตัวสร้างเงามืดขึ้นมาในทุกๆ สังคม...” นี่...ต้องเรียกว่า ขนาดเลขาธิการสหประชาชาติยังมองเห็นไปได้ถึงขั้นนั้น ฟังแล้วเลยออกจะเหี่ยว ออกจะฝ่อ อยู่พอสมควรเหมือนกัน แม้ว่าท่านจะพยายามปลุกขวัญ ปลอบขวัญ พยายามเรียกร้องให้รัฐบาลแต่ละรัฐบาลในบรรดาประชาชาติทั้งหลาย เร่งฟื้นฟู “ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์” ความเหมาะ ความควร หรือ “ความพอเพียง” ในหมู่มวลมนุษย์ ไปจนถึงร่วมมือกันป้องกัน “ความตายแห่งความจริง” อย่างเป็นการเร่งด่วน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นอะไรที่ “ยากส์ส์ส์ฉิบหายย์ย์ย์” ไปด้วยกันทั้งสิ้น...
อย่างไรก็ตาม...สรุปเอาเป็นว่า การที่คนระดับเลขาธิการสหประชาชาติ ที่ย่อมต้องมองลึก มองกว้าง มองไกล มองแบบครอบคลุมไปถึง “ปัญหา” ต่างๆ ซึ่งกำลังอุบัติขึ้นมาในโลกใบนี้ ยุคนี้-สมัยนี้ อย่างน้อย...ก็ยังพอได้อาศัยเป็นเข็มทิศ เป็นเครื่องชี้ทิศ ชี้ทาง ได้มั่งว่า “แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” มันน่าจะอยู่ที่ตรงไหน ณ จุดไหน ส่วนบรรดาพลโลก หรือมวลมนุษย์อย่างเราๆ-ทั่นๆ ทั้งหลาย ตลอดไปจนรัฐบาลแต่ละรัฐบาลในโลกใบนี้ คิดจะเดินไปหาแสงสว่าง หรือยังเมามันซ์ซ์ซ์ มัวเมา อยู่กับความมืดกันต่อไป อันนั้น...ก็คงต้องเป็นอิสระเสรี หรือคงต้องวอทเอเวอร์ วิลบี วิลบี อย่างมิอาจปฏิเสธได้เลย...