วันนี้...คงต้องแวะไปแถวๆ ตะวันออกกลาง แวบไปที่ราชอาณาจักร “ซาอุดีอาระเบีย” เขาไว้สักหน่อย เพราะเห็นว่าตั้งแต่ช่วงวันอังคารนี้ (25 ม.ค.) ท่านนายกฯ “บิ๊กตู่” ของหมู่เฮา ท่านมีกำหนดการที่จะเดินทางไปเยี่ยม ไปเยือน ไปเหยียบทะเลทรายซาอุฯ เป็นเวลา 2 วัน ชนิดต้องถือเป็นครั้งแรกในรอบ 30 กว่าปี ที่เจ้าหน้าที่ระดับสูง ระดับผู้นำประเทศไทย มีโอกาสได้รับคำเชื้อเชิญให้ไปเยือนราชอาณาจักรแห่งนี้อย่างเป็นทางการ อันถือเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม ยินดี และน่าสนใจมิใช่น้อย...
คือเหตุที่ไม่สามารถไปเหยียบทะเลทราย เหยียบหัวกระไดบ้าน ของราชอาณาจักรซาอุฯ เขามานับเป็นทศวรรษๆ ก็คงไม่มีอะไรมากนั่นแหละทั่น หรือมีที่มาจาก “คดีลักเพชร” หรือ “Blue Diamond Affair” ของคนไทยที่ไปทำงานรับใช้อยู่ในวังของกษัตริย์ซาอุฯ เขานั่นแหละ คือ “นายเกรียงไกร เตชะโม่ง” จนเกิดเรื่อง เกิดราว เกิดการทวงเพชร ทวงสมบัติ จนนำไปสู่การฆาตกรรมเจ้าหน้าที่ทางการทูตของซาอุฯ หรือนำไปสู่ความหมางเมิน ความเสื่อมโทรมทางสัมพันธภาพระหว่าง 2 ประเทศ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1989 เป็นต้นมา แม้ว่าฝ่ายไทยพยายาม “แก้ไข” และ “แก้ตัว” กันแบบไหน อย่างไร ก็ดูจะไม่ได้ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดีขึ้นมากมายสักเท่าไหร่ จนกระทั่งถึงยุคท่านนายกฯ “ป.ประยุทธ์” หรือ “บิ๊กตู่” ก็อาจถือเป็นการได้ช่อง ได้จังหวะ เพราะนอกจากแต่ละสิ่งแต่ละอย่างมันจะได้เปลี่ยนแปลงไปเยอะแล้ว ความพยายามคบมิตร หามิตร พยายามหาเพื่อนให้มากๆ เข้าไว้ อาจถือเป็นวาระสำคัญระดับ “วาระแห่งชาติ” ของราชอาณาจักรซาอุฯ ช่วงนี้เอาเลยก็ว่าได้...
เรียกว่า...แม้แต่ประเทศ “คู่กัด” ที่พยายามแย่งชิงความเป็นใหญ่ ความเป็นพี่เบิ้มแห่งตะวันออกกลางมาโดยตลอด อย่างประเทศ “อิหร่าน” เมื่อวัน-สองวันมานี่เอง...รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่านคนใหม่ “นายSaeed Khatibzadeh” ท่านก็เพิ่งออกมาให้ข่าวอย่างเป็นทางการ ว่าอิหร่านได้ส่งตัวแทนทางการทูตถึง 3 ราย ไปเยือนราชอาณาจักรซาอุฯ ก่อนหน้าท่านนายกฯ “บิ๊กตู่” เพียงเล็กน้อย เพื่อหารือถึงการหวนกลับไปเปิดสถานทูตอิหร่านในกรุงริยาดห์ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียพร้อมๆ กับการหวนกลับเปิดสถานทูตซาอุฯ ในกรุงเตหะราน หรือพร้อมที่จะกลับไปญาติดี คืนดี พร้อมที่จะหวนกลับไปสร้างสัมพันธภาพโดยปกติระหว่าง 2 ชาติ หลังจากที่เกิดรายการตัดญาติขาดมิตรมาร่วมๆ ประมาณ 6 ปี หรือหลังจากที่ราชอาณาจักรอันเต็มไปด้วยผู้นับถือศาสนาอิสลามนิกาย “ซุนหนี่” แห่งนี้ ได้ตัดสินใจลงโทษ “ประหาร” ต่อผู้นำศาสนานิกาย “ชีอะห์” จนก่อให้เกิดความไม่พึงพอใจต่อบรรดาชาวอิหร่านที่นับถือศาสนาอิสลามตามความเชื่อของนิกายดังกล่าว ถึงขั้นตัดสินใจบุกเผาสถานทูตซาอุฯ ในกรุงเตหะราน และสถานกงสุลซาอุฯ ที่เมือง “Mashhad” หนักกว่าการแค่ลักเพชร ขโมยเพชร ของ “นายเกรียงไกร เตชะโม่ง” ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า...
ดังนั้น...ในเมื่อขนาดอิหร่านที่ถึงขั้นเผาโน่น เผานี่ ซาอุฯ เขายังสามารถปรับตัว ปรับสภาพ ปรับจิต ปรับใจ ให้หวนกลับมาคืนดี ญาติดี ได้ตามปกติ แค่ระดับลักเพชร ขโมยเพชร อย่างคุณพี่ไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา คงไม่น่าจะเป็นปัญหาหรือก่อให้เกิดตัณหา เกิดอวิชชามากมายสักเท่าไหร่ การหวนกลับมาคืนดี ญาติดี กลับมาฟื้นฟูสัมพันธภาพโดยปกติด้วยการเชื้อเชิญ “บิ๊กตู่” ให้เดินทางไปเยือน ไปเหยียบทะเลทรายซาอุฯ จึงไม่ถึงกับเป็นเรื่องแปลกแต่จริงอะไรกันมากมาย หรือถือเป็นช่อง เป็นจังหวะ เป็น “จุดลงตัว” ที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างคงต้องเป็นไปในแนวนี้ ประมาณนี้ นั่นแหละทั่น!!!
คืออาจด้วยเหตุเพราะซาอุฯ ยุคหลังๆ นี้...เขาต้องเจอกับ “กระแสความเปลี่ยนแปลง” มิใช่น้อย ไม่ว่าตั้งแต่พันธมิตรผู้ใกล้ชิด ผู้ที่ราชอาณาจักรแห่งนี้ เคยมอบตัว มอบใจ ทอดกาย ทอดใจ มาให้โดยตลอด อย่างคุณพ่ออเมริกา ชักเริ่มพลิกเริ่มเปลี่ยนแนวนโยบายต่างๆ ต่อซาอุฯ แบบชนิดจาก “หน้ามือ” กลายเป็น “หลังตีน” ยิ่งเข้าไปทุกที โดยเฉพาะหลังจากที่มกุฎราชกุมารเจ้าชาย “MbS” หรือ “Mohammed bin Salman” ท่านได้แสดงออกถึงความ “เหี้ย...มม์ม์ม์ม์” ระดับ “ม.ม้า” แทบวิ่งตามไม่ทัน ในกรณีหลอกอดีตนักหนังสือพิมพ์ชาวซาอุฯ อย่าง “นายJamal Khashoggi” ไปฆ่ารัดคอแล้วหั่นศพ ในสถานทูตซาอุฯ ประจำตุรกีเมื่อหลายปีที่แล้ว อันก่อให้เกิดปัญหาต่อ “มาตรฐานสิทธิมนุษยชน” ตามแบบฉบับอเมริกามิใช่น้อย หรือออกจะไม่ถึงกับแสดงให้เห็นถึงคุณค่า ราคา แห่งความเป็นมนุษย์มากมายสักเท่าไหร่ หนักซะยิ่งกว่าสิทธิมนุษยชนของชาวอุยกูร์ ในมณฑลซินเจียง ประเทศจีนเอาเลยก็ไม่แน่ แม้ว่าพรรคการเมืองในอเมริกา อย่างรีพับลิกัน ในยุคอดีตประธานาธิบดี “ทรัมป์บ้า” จะยังพอ “หลับตาซะหนึ่งข้าง” ทำเป็นไม่รู้-ไม่เห็นซะยังงั้น แต่สำหรับพรรคการเมืองคู่แข่ง อย่างเดโมแครต ที่ถึงกับนำเอาเรื่องไปโฆษณาหาเสียงในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งที่ผ่านมา คง “เอามือซุกหีบ” ไว้เฉยๆ ไม่น่าจะได้...
การปรับเปลี่ยนนโยบายต่างๆ ของอเมริกาต่อซาอุฯ จึงปรากฏให้เห็นอย่างเป็นระลอก ไม่ว่าการประกาศจะไม่ส่งอาวุธไปสนับสนุนกองทัพซาอุฯ ในการทำสงครามกับ “กบฏเยเมน” การประกาศจะเปิดเผยความเกี่ยวพัน โยงใย ของมกุฎราชกุมารเจ้าชาย “MbS” กับคดีฆ่าหั่นศพให้เป็นที่รับรู้ รับทราบแบบจะจะไปจนถึง “การถอนระบบป้องกันภัยทางอากาศ” ของอเมริกาออกจากซาอุฯ ทั้งๆ ที่ราชอาณาจักรแห่งนี้กำลังถูกพวก “ฮูตี” ถล่มด้วยจรวด เครื่องบินโดรน ชนิดอ่วมอรทัยกาญจนชูศักดิ์กันไปมิใช่น้อย ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่แหละ...ที่ทำให้การหามิตร หาเพื่อน ให้มากๆเข้าไว้ จึงถือเป็นความสำคัญเร่งด่วน หรือเป็น “วาระแห่งชาติ” ของซาอุฯ อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้...
ด้วยเหตุนี้...ทุกสิ่งทุกอย่างก็เลยเข้าทางเท้า เข้าทางตีน ของประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาไปโดยปริยาย หรือถือเป็นโชคดี โชคช่วย บุญหล่นทับ บุญบังเอิญ สำหรับท่านนายกฯ “บิ๊กตู่” ชนิดชักหัวแม่เท้าข้างซ้ายหลบยังไงก็หลบไม่ทันการตอบรับคำเชื้อเชิญให้เดินทางไปเยือนราชอาณาจักรแห่งนี้ ที่เคยห่างหาย ห่างเหิน ไปนานกว่า 30 ปี จึงเป็นอะไรที่สามารถก่อให้เกิดประโยชน์โพดผลกับประเทศเล็กๆอย่างไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา มิใช่น้อย เพียงแค่เฉพาะการช่วยให้เกิดตำแหน่งงาน เกิดการจ้างแรงงานจากประเทศไทย กลับไปยังซาอุฯ ที่เคยมีจำนวนนับเป็นหมื่นๆ ราย ก็น่าที่จะช่วยให้เกิดแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ โดยเฉพาะในช่วงที่ “เศรษฐกิจไทย” กำลังใกล้จะ “เผาจริง” ไม่ใช่ “เผาหลอก” ต่อไปอีกแล้ว ได้เป็นจำนวนไม่น้อย...
นั่นยังไม่รวมไปถึง...ภาวะ “ราคาน้ำมัน” ในปีนี้-ปีหน้า ที่ทำท่าว่าอาจพุ่งทะลุหลังคา ทะลุเพดาน อย่างชนิดน่าขนลุกขนพองเอามากๆ คือถ้าว่ากันตามการคาดการณ์ คำพยากรณ์ของวาณิชธนกิจระดับโลก อย่าง “Goldman Sachs” เมื่อช่วงไม่นานที่ผ่านมา ว่าระดับราคาน้ำมันทุกวันนี้ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 84.95-87.69 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ของ “West Texas” และ “Benchmark” ตามลำดับ อาจพุ่งขึ้นไปถึง 96 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ภายในปีนี้ หรือปี ค.ศ. 2022 และยังอาจพุ่งขึ้นไปถึง 105 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ภายในปีหน้า หรือปี ค.ศ. 2023 อันเนื่องมาจากความต้องการหรือ “Demand” คงที่ ขณะที่สิ่งซึ่งจะมาสนองความต้องการ หรือ “Supply” ลดต่ำลงไปกว่าเดิม ด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ อันนี้นี่แหละ...ที่การคบหา การเดินทางไปเยือนประเทศที่ได้ชื่อว่า “อภิมหาเศรษฐีน้ำมัน” อย่างราชอาณาจักรซาอุฯ ในช่วงนี้ จึงอาจพอช่วยให้เกิดช่อง เกิดทาง ในการบรรเทาเบาบางความเจ็บปวดรวดร้าว ที่กำลังจะมาเยือนในอนาคตเบื้องหน้าได้บ้างไม่มาก-ก็น้อย...ฯลฯ ฯลฯ...
สรุปรวมความแล้ว...การเดินทางเยือนราชอาณาจักรซาอุฯ อย่างเป็นทางการ ของนายกรัฐมนตรีไทยคราวนี้ อาจถือเป็นส่วนหนึ่งและส่วนประกอบของการ... “ขออย่ายอมแพ้-อย่าอ่อนแอแม้จะแพ้พ่าย” ได้ในทางหนึ่ง-ทางใด ก็แล้วแต่จะไปคิดๆกันเอาเอง หรืออาจพอช่วยให้ไม่ถึงกับต้อง “ถอยดีกว่า...ม่ายอาวว์ว์ว์ดีกว่า” ไปซะก่อนกำหนดการ นี่...สุดท้าย อะไรที่มันอาจเป็น “คนละเรื่อง” ย่อมมีสิทธิ์เกี่ยวข้อง โยงใย จนกลายเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” ไปจนได้!!!