วันนี้...คงต้องขออนุญาตชวนให้แวะไปดู “เศรษฐกิจ” ของประเทศพญามังกร อย่างคุณพี่จีนเขาไว้สักหน่อย เพราะเมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา หรือช่วงประมาณวันจันทร์ที่ 17 ม.ค.ที่ผ่านมา หน่วยงาน “สำนักงานสถิติแห่งชาติ” หรือ “NBS” (The National Bureau of Statistics) ของจีน เขาก็เพิ่งออกมาป่าวประกาศถึงตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ของช่วงปีที่ผ่านมา (ค.ศ. 2021) อย่างเป็นทางการ หรืออย่างที่พอรู้ๆ กันไปแล้วว่า...ออกจะ “โตโยต้า” อยู่พอสมควรทีเดียว คือโตไปถึง 8.1 เปอร์เซ็นต์ หรือค่อนข้าง “หักปากกาเซียน” ผิดไปจากความคาดหมายของพวก “กูรู-กูรู้” ทางเศรษฐกิจมิใช่น้อย...
คืออาจเพราะช่วง “ไตรมาสแรก” กับ “ไตรมาสสอง” ลักษณะการโต-ไม่โต มันออกจะทิ้งห่างกันอยู่พอสมควร หรือระดับที่เคยโตๆ ประมาณ 17.3 เปอร์เซ็นต์ในไตรมาสแรก ร่วงลงมาเหลือ 2.79 เปอร์เซ็นต์ในไตรมาสสอง บรรดากูรู-กูรู้บางรายโดยเฉพาะประเภทนักเศรษฐศาสตร์ นักกระยาสารท ที่ชอบคิดคำนวณอะไรต่อมิอะไรตามแบบฉบับตะวันตก ไม่ว่าจะเป็น “บลูมเบิร์ก” “ไอเอ็มเอฟ” ไปจนถึง “ธนาคารโลก” ฯลฯ เขาจึงคิดว่าอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยรวม หรือตลอดทั้งปี ของจีน ไม่น่าจะ “โตโยต้า” มากมายสักเท่าไหร่ บางรายถึงกับสรุปไว้ล่วงหน้าว่า อัตราการโตในช่วงไตรมาสสี่ หรือไตรมาสสุดท้าย ไม่น่าจะเกิน 3.3 หรือ 3.6 อะไรประมาณนั้น แต่เอาไป-เอามา....คุณพี่จีนท่านสามารถทำ “เซอร์ไพรส์” เล็กๆ น้อยๆ คือโตไปถึง 4.4 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้ตัวเลขจีดีพีโดยรวมเมื่อปีที่แล้ว พุ่งขึ้นไปถึง 8.1 เปอร์เซ็นต์ดังที่กล่าวไปแล้ว...
แน่ล่ะว่า...สำหรับบรรดาผู้ที่ชอบหมกมุ่นในเรื่องเงินๆ-ทองๆ หรือเรื่องตัวเลขจีดีพีทั้งหลาย การโตในลักษณะทำนองนี้ก็ออกจะเป็นอะไรที่เก๋ ที่เท่ ไม่เบาเอาเลยทีเดียว หรือถือเป็นการโตสูงสุดในรอบทศวรรษของคุณพี่จีนเขา ส่งผลให้ “ขนาด” เศรษฐกิจของจีน มีมูลค่ากว้างขวางใหญ่โตกันถึงระดับ 114.4 ล้านล้านหยวน หรือเกือบ 18 ล้านล้านดอลลาร์ โตแบบตามหายใจรดต้นคอประเทศอภิมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับหนึ่ง อย่างคุณพ่ออเมริกา แบบชนิดขนคอลุก ขนคอตั้ง เอาเลยถึงขั้นนั้น หรือโดยมูลค่าจีดีพีคุณพี่จีน มีขนาดใหญ่โตประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ของขนาดเศรษฐกิจคุณพ่ออเมริกาไปแล้วก็ว่าได้ ชนิดเรียกว่าพ้นจาก “โค้งวัดเบญฯ ” อีกไม่สักเท่าไหร่ หรืออีกไม่ใกล้-ไม่ไกล โอกาสที่คุณพี่จีนจะผงาดขึ้นมาแทนที่คุณพ่ออเมริกา คว้าตำแหน่ง “แชมป์โลก” ทางเศรษฐกิจ ในขณะที่อเมริกาต้องหันไปคว้าตำแหน่ง “แชมป์โรค” กันแทนที่เอาเลยก็ไม่แน่...
คือแม้ว่าจะเจอกับอุปสรรคขวากหนามจำนวนมิใช่น้อย หรือไม่ต่างไปจากประเทศอื่นๆ ทั่วทั้งโลกนั่นแหละ เช่น เจอกับการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 มาตลอด 2 ปี ต้องปิดบ้าน-ปิดเมือง ปิดประเทศ อย่างชนิดเข้มงวด-กวดขันเอามากๆ ตามแนวนโยบาย “โควิดเท่ากับศูนย์” หรือ “Zero Covid” ชนิดแทบไม่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวต่างชาติแวะไปชมกำแพงเมืองจีนได้เลยแม้แต่น้อย หรือแค่เจอกับผู้ติดเชื้อกลายพันธุ์ตัวใหม่ อย่าง “Omicron” แค่ไม่กี่สิบ กี่ร้อยราย การเทียวมา-เทียวไป ภายในประเทศจีนโดยนักท่องเที่ยวจีนเองนั่นแหละ ก็แทบทำไม่ได้ ไม่มีโอกาส “ไชน่าแซนด์บ็อกซ์” หรือ “ปักกิ่งแซนด์บ็อกซ์” เหมือน “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” บ้านเราเอาเลยแม้แต่น้อย อันน่าจะทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวและการบริการ น่าจะหดๆ ลงมามั่งไม่มากก็น้อย...
หรือเจอเข้ากับการล้มคว่ำคะมำหงาย หน้าทิ่ม หน้าตำ ของบรรษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับยักษ์ อย่าง “Evergrande” ที่ไม่รู้จะหาเงินใช้หนี้ประมาณ 300,000 ล้านดอลลาร์ได้เมื่อไหร่ แบบไหน และอย่างไร คล้ายๆ บรรษัทยักษ์ใหญ่ในอเมริกาอย่าง “Lehman Brother” เมื่อหลายปีที่แล้วอะไรทำนองนั้น ที่เล่นเอาระบบเศรษฐกิจอเมริการวมทั้งเศรษฐกิจโลกทั้งโลกพลอยต้อง “ซวยไปด้วย” แถมช่วงกลางๆ ปีที่แล้ว ยังต้องเจอกับการขาดแคลนไฟฟ้า พลังงานถ่านหิน ชนิดเล่นเอาโรงงานผลิตในมณฑลต่างๆ ต้องจุดตะเกียงทำงานเอาเลยถึงขั้นนั้น ฯลฯ แต่แทบไม่น่าเชื่อก็คงต้องเชื่อนั่นแหละว่า...บรรดาสิ่งต่างๆ เหล่านี้ กลับไม่สามารถฉุดกระชาก หน่วงรั้ง ให้ตัวเลขจีดีพีของจีน ออกอาการ “เหี่ยวปลาย” ได้มากมายสักเท่าไหร่ยังคงโตๆ แบบ “โตโยต้า” ต่อไปอีกเช่นเคย ขณะที่ประเทศอื่นๆ...ล้วนแล้วแต่ “เดี้ยง...กับ...เดี้ยง” ไม่ต่างไปจากกันเอาเลยแม้แต่น้อย...
คือจะด้วยสาเหตุ ต้นเหตุ เหตุปัจจัย ในแบบไหน อย่างไรนั้น...คงต้องปล่อยให้บรรดาพวก “กูรู-กูรู้” ทางเศรษฐกิจทั้งหลาย เขาไปนั่งวิเคราะห์ สังเคราะห์ กันเอาเองก็แล้วกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่น่าจะเกี่ยวข้องกับ “ศักยภาพ” ไม่ว่าทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือทางใดๆ ก็แล้วแต่ ของประเทศแต่ละประเทศ อย่างมิอาจแยกออกจากกันได้เลย นั่นก็คือสิ่งที่เรียกว่า “ความเชื่อมั่น” ของผู้คนในประเทศนั้นๆ ต่อระบบการเมือง การปกครอง การเศรษฐกิจ และการอะไรต่อมิอะไรทั้งหลาย โดยสิ่งนี้นี่เองที่อาจนำมาใช้เป็นองค์ประกอบในการวิเคราะห์ สังเคราะห์สิ่งต่างๆ ได้มากซะยิ่งกว่าการมองกันแต่เฉพาะ “ตัวเลข” ล้วนๆ และก็เมื่อช่วงแค่ไม่กี่วันที่ผ่านมานี่เอง หน่วยงานที่ทำหน้าที่ศึกษาและวิจัยเรื่องความคิด ความอ่าน ของผู้คนในระดับโลก อย่าง “The Edelman Trust Barometer” ที่ถือเป็นหน่วยงานองค์กรที่ใหญ่ที่สุดในโลกในด้านนี้ มีลูกจ้าง พนักงาน กระจายอยู่ทั่วโลกไม่ต่ำกว่า 6,000 ราย เขาได้ออกมาเปิดเผยถึงผลงานการศึกษาและวิจัยที่น่าคิด น่าสะกิดใจ เอามากๆ หลังจากได้สำรวจตรวจสอบ ความคิด ความเห็นของผู้คนไม่ต่ำกว่า 36,000 ราย ใน 28 ประเทศทั่วโลก ตั้งแต่ช่วงวันที่ 1-24 พ.ย.ปีที่แล้ว และพบว่า...บรรดาประเทศต่างๆ ที่ปกครองด้วย “ระบอบประชาธิปไตย” ทั้งหลาย ต่างกำลังต้องเผชิญกับ “ความไม่เชื่อ” หรือเผชิญกับ “ความเสื่อม” อย่างชนิดน่าตกใจเอามากๆ ขณะที่บรรดาประเทศที่ปกครองกันด้วยระบอบ “อัตตาธิปไตย” หรือ “อำนาจนิยม” ในแต่ละราย กลับสามารถสร้าง “ความเชื่อมั่น” ให้กับใครต่อใคร เพิ่มขึ้นๆ ยิ่งเข้าไปทุกที!!!
นี่...ถือเป็นผลสำรวจ วิจัย ที่ออกจะ “ช็อกโลก” อยู่พอสมควรเหมือนกัน แต่โดยระบบวิเคราะห์ วิจัย การสอบถาม ที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือเอามากๆ อย่างน้อย...ก็มากกว่า “สำนักโพล” บ้านเราไม่รู้กี่สิบ กี่ร้อยเท่า ผลแห่งการตรวจสอบและวิจัยที่ปรากฏให้เห็น เช่น ประเทศประชาธิปไตยอย่างเยอรมนี ความเสื่อม ความตกต่ำต่อระบบการเมือง-การปกครองในประเทศนี้ ทำเอาตัวเลข “ความเชื่อมั่น” ลดลงมาถึง 7 จุดด้วยกัน เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านั้น หรือจาก 53 คะแนน เหลือแค่ 46 คะแนนเท่านั้นเอง ขณะที่ประเทศอย่างออสเตรเลีย ปีก่อนๆ ตัวเลขความเชื่อเคยขึ้นไปถึง 63 คะแนน มาขณะนี้....เหลือแค่ 57 คะแนน หรือต่ำไปเกือบ 6 จุด เนเธอร์แลนด์ปีก่อนๆ 63 ปีที่ผ่านมาเหลือแค่ 57 ลดไป 6 จุด เกาหลีใต้ปีก่อนๆ 47 ปีถัดมาเหลือแค่ 42 ลดลงไป 5 จุด ส่วนคุณพ่ออเมริกาที่เคยเชื่อๆ กันถึง 48 คะแนน หลังๆ นี้เหลืออยู่แค่ 43 คะแนน ลดลงไป 5 คะแนน หรือเผลอๆ...อาจมากกว่านั้นก็ไม่แน่...
ขณะที่บรรดาประเทศ “อัตตาธิปไตย” หรือ “Autocratic” ทั้งหลาย...กลับมาแรงแซงโค้งเอามากๆ ในแง่ของ “ความเชื่อมั่น” โดยเฉพาะประเทศคุณพี่จีนเขานั่นแหละ ที่คะแนนนิยม คะแนนความเชื่อมั่น-ศรัทธา เพิ่มขึ้นมาถึง 11 จุด อยู่ที่ 83 คะแนนหรือประเทศแขกประเทศอิสลาม อย่างยูเออีที่มีคะแนนเพิ่มขึ้น 9 จุด อยู่ที่ 76 คะแนน แม้แต่ประเทศไทยแลนด์ แดนสยามของหมู่เฮา ที่หนีไม่พ้นต้อง “เราจะทำตามสัญญา...ขอเวลาอีกไม่นาน” ฮึ้มฮึม ฮึ้มหึ่ม มาตลอด 7 ปี 8 ปี ด้วยการสืบทอดหรือไม่สืบทอดอำนาจของ “พี่น้อง 3 ป.” ก็แล้วแต่ อันอาจเป็นเหตุให้คุณพ่ออเมริกาเลยไม่คิดจะเชื้อชวน เชิญชวน ให้ไปร่วมประชุม “Democracy Summit” กันเห็นๆ แต่จะด้วยเหตุเพราะบรรดา “นักประชาธิปไตย” ในบ้านเรา หนักไปทาง “มวยวัด” ป่ายซ้าย-ป่ายขวา จนทำให้ความเป็นประชาธิปไตยเลยพลอยตกต่ำลงไปด้วยหรือไม่ อย่างไร แล้วแต่จะไปสรุปกันเอาเอง ปรากฏว่าคะแนน “ความเชื่อ” กลับเพิ่มขึ้นมาอีก 5 จุด อยู่ที่ 66 คะแนนซะเฉยเลย ด้วยลักษณะอาการเช่นนี้นี่เองเลยทำให้ผู้บริหารหน่วยงานที่ว่านี้ อย่าง “นายRichard Edelman” ถึงกับต้องออกมาให้ข้อสรุปเอาไว้ว่า...“เราทั้งหลาย...ต่างกำลังเจอกับความล่มสลายของความเชื่อมั่นต่อระบอบประชาธิปไตย” จริง-ไม่จริง...ก็ลองไปนั่งคิด นอนคิด เอาเองก็แล้วกัน...