xs
xsm
sm
md
lg

ว่าด้วยความเป็นไปได้ของ...สงครามนิวเคลียร์!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท



ปิดท้าย ปิดฉากสัปดาห์นี้...ด้วยข่าวคราวที่น่าจะถือเป็น “ข่าวดี” มิใช่น้อย ส่วนจะก่อให้เกิดความเบาๆ-สบายๆ หรือยังต้องหนักหัว หนักกบาล ต่อไปอีกจนได้ อันนั้น...ก็คงขึ้นอยู่กับ “มุมมอง” ขึ้นอยู่กับ “วิสัยทัศน์” ของใคร-ของมัน ที่คงต้องไปว่ากันเอาเองก็แล้วกัน!!!

นั่นก็คือข่าวคราวที่ว่าด้วยประเทศระดับบิ๊กๆ 5 ราย หรือ 5 มหาอำนาจแห่งคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่ออเมริกา ผู้ดีอังกฤษ ฝรั่งเศส จีน และรัสเซีย เขาได้ร่วมไม้-ร่วมมือ ร่วมออก “คำแถลงร่วม” เมื่อช่วงวันจันทร์ที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา ถึงความเห็นพ้องต้องกันต่อความน่าเกลียด น่ากลัว น่าทุเรศ ของการคิดจะประหัตประหารกันและกันด้วย “อาวุธนิวเคลียร์” หรือ “เห็นควรด้วย” ว่าโลกทั้งโลกหนีไม่พ้นต้อง “ด้วน” ลงไปแน่ๆ!!! ถ้าหากบรรดาชาติแต่ละชาติที่มีอาวุธชนิดนี้อยู่ในมือ คิดจะงัดเอาอาวุธดังกล่าวมาถล่มกันไป-ถล่มกันมา ภายในอนาคตเบื้องหน้า ไม่ว่าจะโดยเงื่อนไขหรือโดยฉากสถานการณ์ใดๆ ก็แล้วแต่...

หรือต่างเห็นพ้องต้องกัน ว่าควรที่จะร่วมแสดงออกถึงความตระหนักและความรับผิดชอบ ด้วยการออกมาป่าวประกาศยืนยัน ถึงการต้องหาทาง “หลีกเลี่ยงสงครามนิวเคลียร์” หรือการ “ลดความเสี่ยงทางยุทธศาสตร์” อันจะนำมาซึ่งการหันมาใช้อาวุธเหล่านี้ แบบชนิดเสียงดัง-ฟังชัด หรือแบบน่าปลาบปลื้มยินดีเอามากๆ ถึงขั้นว่า... “เราขอประกาศยืนยันว่า ไม่มีฝ่ายใดอยู่แล้วแน่ๆ ที่จะเป็นผู้ชนะในสงครามนิวเคลียร์ และจะต้องไม่ยอมให้มีสงครามชนิดนี้เกิดขึ้น ในอนาคตเบื้องหน้า” นี่...ต้องเรียกว่า ฟังแล้ว...น่าปลอดโปร่งโล่งสบาย มิใช่น้อยเอาเลยทีเดียว เพราะดังที่อภิมหานักวิทยาศาสตร์ อย่างคุณปู่ “อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์” หรือจะเป็นอดีตผู้นำทางทหารชาวอังกฤษ ผู้โด่งดังในสมัยยุค “สงครามโลกครั้งที่ 2” อย่างท่านนายพล “ลอร์ด หลุยส์ เมานต์แบตเทน” (Louis Mountbatten) ก็จำไม่ได้ซะแล้ว ที่เคยเอ่ยคำพูด คำจา อันน่าคิด น่าสะกิดใจและน่าขนลุก ขนพอง ตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ นั่นคือคำพูดประมาณว่า... “ข้าพเจ้ามิอาจสรุปได้...ว่าในสงครามโลกครั้งที่ 3 เขาจะใช้อาวุธอะไรประหัตประหารซึ่งกันและกัน แต่ข้าพเจ้าค่อนข้างแน่ใจ ว่าในสงครามโลกครั้งที่ 4 เขาอาจต้องสู้รบกันด้วยท่อนไม้...และก้อนหิน!!!”

คือพูดง่ายๆ ว่า...ถ้าหากการเอาแพ้-เอาชนะกันในสงครามโลกครั้งที่ 3 หนีไม่พ้นต้องงัดเอา “อาวุธมหาประลัย” อย่างอาวุธนิวเคลียร์ มาใช้เป็นตัววัดตัดสิน มาใช้ถล่มซึ่งกันและกัน เหมือนอย่างที่คุณพ่ออเมริกาเคยถล่มคุณพี่ญี่ปุ่น ยุ่นปี่ เมื่อครั้งยุค “สงครามโลกครั้งที่ 2” จนมหานครฮิโรชิมาและนางาซากิ ราบเรียบไปเป็นหน้ากลอง เพื่อหาทางบีบบังคับญี่ปุ่นให้ยอมแพ้ให้จงได้ ทุกสิ่งทุกอย่างนับจากนี้...คงหนีไม่พ้นต้องฉิบหายวายวอด ชนิดมวลมนุษย์โลกทั้งหลาย อาจต้องย้อนยุคกลับไปสู่ “ยุคหิน” เอาเลยก็ไม่แน่!!! โดยเฉพาะเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านพ้นไปแล้ว ก็ใช่ว่าจะมีแต่คุณพ่ออเมริกาประเทศเดียว ที่สามารถครอบครองอาวุธมหาประลัย อาวุธฉิบหายชนิดนี้เอาไว้ในมือ อย่างน้อย...บรรดาชาติต่างๆ ที่ได้เห็น ได้เป็นประจักษ์พยานถึงความฉิบหายวายป่วงของฝ่ายตรงข้ามในลักษณะดังกล่าว และได้หันไปสร้าง หันไปสะสมอาวุธชนิดนี้ เอาไว้เป็นอำนาจต่อรองของตัวเอง ก็น่าจะมีไม่ต่ำกว่า 8 ชาติ 9 ชาติ ในตราบเท่าทุกวันนี้...

ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่ออเมริกาที่ว่ากันว่า...ได้สะสมอาวุธชนิดนี้ ไม่ต่ำกว่า 5,600 หัวรบด้วยกัน แต่ที่นำเข้ามาประจำการอยู่ที่ประมาณ 1,750 หัวรบ หรือคุณน้ารัสเซียที่ว่ากันว่า อาจเก็บงำ ครอบงำอาวุธชนิดนี้เอาไว้ถึง 6,257 ลูก แต่ที่ยังติดตั้งและประจำการ อาจมีอยู่ประมาณ 1,600 หัวรบ น้อยกว่าคุณพ่ออเมริกานิดๆ หน่อยๆ ส่วนคุณพี่จีน...ที่กำลังเร่งรัดพัฒนายกระดับขีดความสามารถของอาวุธชนิดนี้ จนอาจมีเอาไว้ในมือไม่ต่ำกว่า 1,000 หัวรบไปแล้วก็เป็นได้ ขณะที่ผู้ดีอังกฤษ ครอบครองเอาไว้ประมาณ 225 ลูก แต่นำมาติดตั้งประจำการประมาณ 120 หัวรบ ฝรั่งเศสประจำการ 280 หัวรบ สะสมไว้ 290 ไปจนถึงคุณปู่อินตะระเดียนะนายจ๋า จะติดตั้งประจำการ เอาไว้เท่าไหร่ก็ยังมิอาจคาดคะเนได้ แต่น่าจะกำอาวุธชนิดนี้เอาไว้ในมือไม่น้อยกว่า 160 หัวรบขึ้นไป เช่นเดียวกับประเทศคู่กัดอย่างปากีสถาน ที่ว่ากันว่า...น่าจะมีอาวุธชนิดนี้ไว้ในครอบครองไม่ต่ำกว่า 165 ลูก ขณะที่เกาหลีเหนือยังน่าจะมีแค่ประมาณ 45 ลูก ไปจนกระทั่งคุณทวดอิสราเอลที่แอบซุ่ม แอบซุก แอบซ่อนเอาไว้เพื่อลบประเทศหนึ่ง ประเทศใดออกจากแผนที่โลกหรือไม่ อย่างไรก็แล้วแต่ แต่ก็ไม่น่าจะต่ำไปกว่า 90 หัวรบ ฯลฯ อะไรประมาณนั้น...

ดังนั้น...แม้ว่า 5 ชาติมหาอำนาจแห่งคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ อาจพอเล็งเห็น พอตระหนักถึงภัยพิบัติแห่งความฉิบหายวายป่วง ของอาวุธชนิดนี้เพียงใดก็ตาม แต่ถ้าหากโดยบรรยากาศความเป็นไปของโลก มันยังแทบไม่ได้มีอะไรที่พอจะช่วยให้เกิดความปลอดโปร่งโล่งสบายมากมายสักเท่าไหร่นัก ยังคงฮึ่มๆ แฮ่ๆ...ใส่กันและกันไปในทั่วทุกๆ “แนวรบ” ตั้งแต่ยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง และทะเลจีนใต้ คำประกาศยืนยันว่าไม่คิดจะงัดเอาอาวุธมหาประลัยเหล่านี้ออกมาใช้ ก็ใช่ว่าจะถือเป็นเครื่องหมายแห่งสันติภาพ เป็นหลักประกันอะไรต่อมิอะไรได้มากมาย โดยเฉพาะเมื่อความพยายามหันไปยกระดับ ไปพัฒนา “อาวุธในแบบ” (Conventional Weapon) ของแต่ละประเทศ ชักเริ่มส่งผลให้เกิดการ “ปรับระดับดุลอำนาจ” ขึ้นมามั่งแล้ว...

เช่น การพัฒนาอาวุธความเร็วเหนือเสียง หรือที่เรียกๆ กันว่า “Hypersonic” ทั้งของคุณน้ารัสเซียและคุณพี่จีน ที่ชักมาแรงแซงโค้งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนอภิมหาอำนาจทางทหารอย่างคุณพ่ออเมริกา อาจไล่กวด ไล่ตาม แทบไม่ทัน อย่างข่าวคราวล่าสุดที่คุณพี่จีน ท่านได้พัฒนาเครื่องตรวจจับความร้อนด้วยอินฟราเรด ผนวกเอาไว้ในอาวุธชนิดนี้ จนอาจมีขีดความสามารถถึงขั้นเล่นงาน “เครื่องบินล่องหน” แต่ละชนิดได้ง่ายๆ หรือไม่ต้องเล่นงานกันในระดับสูงๆ แม้แต่จะบินต่ำเตี้ยเรี่ยดินสักเพียงใดโอกาสที่จะ “เรียบโร้ยย์ย์ย์โรงเรียนจีน” ย่อมมีความเป็นไปได้ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น หรือคุณน้ารัสเซียที่กล้าออกมาป่าวประกาศแบบเสียงดัง-ฟังชัด ว่าอาวุธไฮเปอร์โซนิกของรัสเซียนั้น ไม่มีชาติใด ประเทศใดในโลก ที่จะสามารถป้องกันตัวเองจากการโจมตีของอาวุธชนิดนี้ได้เลย...

อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่แหละ...ที่ทำให้อาวุธมหาประลัยอย่าง “นิวเคลียร์” ยังคงถือเป็นหลักประกัน เป็นความมั่นคงทางยุทธศาสตร์ สำหรับแต่ละประเทศ ที่จำต้องหาทางสะสม หรือหาทางมีเอาไว้ในมือ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ แม้แต่ชาติเล็กๆ อย่าง “เกาหลีเหนือ” ที่ดูจะ “เข้าถึง-เข้าใจ” ต่อบรรยากาศความเป็นไปของโลก ที่แทบหาความปลอดโปร่งโล่งสบายใดๆ แทบไม่ได้ การทดสอบ ทดลอง อาวุธนิวเคลียร์ในแต่ละครั้งของประเทศนี้ จึงแทบไม่ได้ต่างอะไรไปจากสิ่งที่เรียกว่า “การทูตนิวเคลียร์” เอาเลยก็ว่าได้ เช่นเดียวกับประเทศที่อาจมีสิทธิ์นอตหลุด นอตหลวมขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ อย่างเช่น อินเดียและปากีสถาน ที่ความขัดแย้งในเรื่องความเชื่อเรื่องศาสนา ไปจนถึงเรื่องพรมแดน เขตแดน เช่นในกรณีพิพาท “แคชเมียร์” เป็นต้น ทำให้ทั้ง 2 ชาติ 2 ประเทศที่ไม่ได้มีชื่ออยู่ใน “คำแถลงร่วม” เมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา ยังคงถือเป็นประเทศที่อาจงัดเอาอาวุธมหาประลัยเหล่านี้ ออกมาใช้ในภาวะหน้าสิ่ว-หน้าขวาน หน้าข้าว-หน้าเหล้า ได้ทุกเมื่อ...

ยิ่งเป็นประเทศที่ถูกรายรอบ ล้อมรอบ ด้วยศัตรู-คู่กัด อย่างอิสราเอล ชนิดไม่ว่าเปิดประตู เปิดหน้าต่าง ออกไปทางทิศไหนต่อทิศไหน ก็มีอันต้องเจอกับพวกฮามาสในปาเลสไตน์ พวกเฮซบอลเลาะห์ในเลบานอน พวกฮูตีในเยเมน เจอกับกองทัพซีเรีย ณ ที่ราบสูงโกลัน ไปจนถึงเจอกับคุณปู่อิหร่าน ที่คิดจะ “ลบประเทศอิสราเอลออกจากแผนที่โลก” ให้จงได้ ด้วยความสำเร็จในการทดสอบ ทดลอง จรวด “Jeriho-3” หรือ “YA-4” เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 2011 อันเป็นขีปนาวุธระดับข้ามทวีป ที่ติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์น้ำหนักประมาณ 1,000-3,000 กิโลกรัมเอาไว้ในตัว โอกาสที่จะงัดอาวุธชนิดนี้ออกมาใช้ เพื่อไม่ให้ประเทศตัวเองต้องถูกลบออกไปจากแผนที่เอาง่ายๆ จึงยังคงมีความเป็นไปได้สูงอยู่อีกนั่นแหละ ตราบใดที่ทั้ง 5 ชาติมหาอำนาจแห่งคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ยังไม่คิดจะหันมาร่วมไม้-ร่วมมือ ร่วมสร้างบรรยากาศแห่ง “สันติภาพ” ให้เข้ามาแทนที่ บรรยากาศแห่งความตึงเครียดและการเผชิญหน้าซึ่งกำลังปรากฏอยู่ในทั่วทุกแนวรบ จนตราบเท่าทุกวันนี้...


กำลังโหลดความคิดเห็น