ณ บ้านพระอาทิตย์
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
ในความเป็นจริงแล้วตำรับ “ยาลม ๓๐๐ จำพวก” ที่ปรากฏเป็นตำราสุดท้ายใน “พระคัมภีร์ไกษย” ย่อมแสดงให้เห็นว่าตำรับยานี้ พระยาพิษณุประสาทเวช ย่อมให้ความสำคัญต่อตำรับยานี้อย่างมาก ซึ่งระบุความว่าตำรับยานี้มาจาก “ขรัวพ่อฉิม”
แต่ในความจริงแล้วตำรับยา “ขรัวพ่อฉิม”นั้ น มิได้ถูกเขียนบันทึกเอาไว้เป็น “ตำรับยาสุดท้าย” เท่านั้น แต่ยังรวมถึง “ตำรับยารองสุดท้าย” ในพระคัมภีร์ไกษยด้วย โดยตำรับยารองสุดท้ายเป็น “ยาดองแก้เลือด” และตำรับยาสุดท้ายเป็น “ยาแก้ลม” และเป็น “ยาอายุวัฒนะ” ในเวลาเดียวกัน โดยความ ๒ ตำรับสุดท้ายความว่า
“ยาดองแก้เลือดของขรัวพ่อฉิมให้เอา กระเทียม ๕ ตำลึง การะบูร ๑๐ บาท ว่านน้ำ ๕ ตำลึง ผักเปดแดง ๕ ตำลึง บอระเพ็ด ๕ ตำลึง ไพล ๕ ตำลึง เกลือ ๕ ตำลึง ดีเกลือ ๑ มะกรูด ๓๓ ลูก ต้มกับผักเป็ดแดงตำคั้นเอาน้ำดอง จึงเอายาทั้งนั้นปรุงลงกินดีนักแล
ให้เอามหาหิงคุ์ ๑ บาท ว่านน้ำ ๑ สลึง เจตมูลเพลิง ๒ สลึง เกลือ
สินเธาว์ ๒ สลึง พริกไทย ๖ สลึง การะบูร ๒ สลึง กานพลู ๑ สลึง แห้วหมู ๒ สลึง โกฐพุงปลา ๑ เฟื้อง โกฐสอ ๑ เฟื้อง ยาดำ ๑ บาท รากตองแตก ๑ บาท ดีปลี ๖ สลึง รากช้าพลู ๑ สลึง ผลกระดอม ๖ สลึง บอระเพ็ด ๒ สลึง ลูกกระวาน ๒ สลึง กระเทียม ๒ สลึง ขมิ้นอ้อย ๒ สลึง หัสดำเทศ ๑ บาท ใบสะเดา ๑ ตำลึง ตำเปนผงละลายน้ำร้อนหรือน้ำส้มก็ได้ หรือส้มซ่าก็ได้ น้ำผึ้งก็ได้ หรือน้ำร้อนก็ได้
แก้ลมอันเกิดแต่เท้าให้เท้าตายมือตาย และแก้ลมริศดวงก็หายสิ้นแล ให้รับประทานเท่าผลสมอแก้ลม ๓๐๐ จำพวกก็หายแล ถ้ารับประทานได้ ๗ วัน เสียงดังจั๊กกระจั่นเรไร ถ้ารับประทาน ๑๕ วัน เสียงนกการะเวก ถ้ารับประทานได้นานๆ เสียงดังหงษ์ทองอยู่ในถ้ำคูหาสวรรค์ ถ้ารับประทานถึงเดือน ๑ เรียนพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ จบ คาถาปัญญาสว่าง ปราศจากพยาธิ ๕๐๐ จำพวกก็หายสิ้นแล ถ้ารับประทานถึง ๖ เดือน จักษุสว่างทั้ง ๒ ข้าง รับประทานถึง ๗ เดือน รู้กำเนิดเทวดาในชั้นฟ้า รับประทานถึง ๘ เดือน พระเวสสุวรรณลงมาสู่เราแล ( พระเวสสุวรรณ คือ เท้ากุเวร ซึ่งเป็น ท้าวจาตุมหาราชประจำทิศเหนือ) รับประทานถึง ๙ เดือนอายุยืนได้ถึง ๒๐๐ ปี ให้ทำยานี้กินเถิด ถ้าผู้ใดได้ตำรานี้แล้วไม่ทำกิน เหมือนเหยียบแผ่นดินผิดทีเดียวแล ตำรานี้ท่านคิดปฤษณาได้ อย่าได้สนเท่ห์เลย ถ้าได้พบให้ทำกินจำเริญอาหารด้วยแล” [๑]
ผู้เขียนได้เดินทางไปกราบสักการะรูปหล่อของ “หลวงพ่อฉิม” (ขรัวฉิมเทวดา) ปฐมเจ้าอาวาสของวัดชัยชนะสงครามที่หน้าอุโบสถแล้ว ก็ได้พบว่าเป็นรูปหล่อที่มีเอกลักษณ์มาก เพราะนอกจากจะยืนยันด้วยการจารึกชื่อท่านบนฐานรูปหล่อว่า “หลวงพ่อฉิม (ขรัวฉิมเทวดา)” แล้ว มือของรูปหล่อดังกล่าวแสดงถึงกิริยาที่กำลังปั้นยาลูกกลอนอยู่ในบาตรขนาดเล็กด้วย อันแสดงให้เห็นว่า “หลวงพ่อฉิม (ขรัวฉิมเทวดา)” เป็น “พระหมอยา” อย่างแท้จริง
นอกจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ จะได้ทรงรับสั่งเรียก “พระอาจารย์ฉิม” ขนานนามว่าเป็น “ขรัวฉิมเทวดา”อันเนื่องด้วยเพราะสามารถรักษามหาดเล็กในพระบรมมหาราชวังให้หายป่วยด้วยฝีในลำไส้ได้ภายใน ๗ วันอย่างน่าอัศจรรย์ ตามที่พระอาจารย์ฉิมได้รักษากำหนดวันหายป่วยเอาไว้ดังที่อธิบายในตอนที่แล้วก็ตาม [๒]
แต่ในฐานะ “หมอยาอาจารย์แพทย์” อย่าง “พระยาพิษณุประสาทเวช” ผู้จัดการโรงเรียนราชเวชสโมสรซึ่งได้บันทึกเรียกด้วยความเคารพ “มากกว่า” คำว่า “ขรัวฉิม” เฉยๆ ซึ่งหมายถึงคำเรียก “พระภิกษุผู้มีอายุมากชื่อฉิม” ด้วยความเคารพอยู่แล้ว
แต่ “พระยาพิษณุประสาทเวช” บันทึกเรียกตำรับยาของ “ขรัวพ่อฉิม” และคำว่า “ขรัวพ่อ” ย่อมแสดงถึงไม่เพียงความอาวุโสของพระสงฆ์เท่านั้น แต่ยังมีความหมายถึงความเคารพนับถือของ “พระยาพิษณุประสาทเวช” เองอีกด้วย และการที่พระยาพิษณุประสาทเวช ซึ่งก็เป็นระดับครูบาอาจารย์ในวิชาการแพทย์แผนไทยยังบันทึกเอาไว้ในตำรายาหลวง เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๐ (๑๑๔ ปีที่แล้ว) ๒ ตำรับสุดท้ายท้ายพระคัมภีร์ไกษย ซึ่งเป็นพระคัมภีร์สำคัญเช่นนี้ ย่อมแสดงว่า “ขรัวพ่อฉิม” ย่อมต้องมีความแตกฉานจนเป็นที่น่าเคารพเลื่อมใสยิ่ง
การที่ เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ได้ยกที่บ้านถวายเป็นวัด แล้วสร้างโบสถ์วิหารการเปรียญเสนาสนะพร้อม มีชื่อว่าวัดชัยชนะสงคราม ดังนั้นการที่อาราธนากราบนิมนต์ให้ “พระอาจารย์ฉิม” มาเป็นเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดแห่งนี้ ย่อมต้องมีความเคารพนับถือ “พระอาจารย์ฉิม” อย่างแน่นอน
เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)นั้น มีกิตติศัพท์เลื่องลือในฐานะแม่ทัพผู้ห้าวหาญคู่พระบารมีพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ นั้น เจ้าพระยาบดินทรเดชาได้เคยสู้รบด้วยตนเองชนิดที่ผ่านคมหอก คมดาบ กระสุนปืนของศัตรูมาได้อย่างปาฏิหาริย์ โดยมีบันทึกปรากฏไว้ในหนังสือประชุมพงศาวดารที่ ๖๗ จดหมายเหตุเกี่ยวกับเขมรและญวนในรัชกาลที่ ๓ จัดทำเนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ เสวกเอก พระยานครราชเสนี (สหัด สิงหเสนี) เผยแพร่เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๑ ความในส่วนหนึ่งในประวัติ ของเจ้าพระยาบดินทรเดชา ได้รับการโปรดเกล้าฯให้เป็น เจ้าพระยาสุภาวดี (สิงห์) ในการต่อสู้กับเจ้าราชวงศ์ เวียงจันท์ ความตอนหนึ่งว่า
“วันรุ่งขึ้นพระยาราชสุภาวดี (สิงห์) ได้ทราบข่าวว่าเจ้าราชวงศ์ เวียงจันท์ ยกกองทัพตามมา จึงรีบจัดกองทัพยกไปต่อสู้ กองทัพทั้งสองปะทะกันที่บกหวาน ต่างบุกบั่นสู้รบถึงตะลุมบอน บังเอิญม้าของเจ้าพระยาราชสุภาวดี(สิงห์) เหยียบคันนาแพลงล้มลงทับขาเจ้าพระยาราชสุภาวดี (สิงห์)
ทันใดนั้นพอดีเจ้าราชวงศ์เวียงจันท์ขับม้าสะอึกเข้าไปถึง จึงเอาหากแทงปักตรงกลางตัวเจ้าพระยาราชสุภาวดี (สิงห์) ๆ รู้ท่วงทีอยู่ก่อนแล้ว จึงเบ่งพุงลวงตาเจ้าราชวงศ์เวียงจันท์ เมื่อหอกพุ่งปร๊าด ลงไป เจ้าพระยาราชสุภาวดี (สิงห์) แขม่วท้องและเอี้ยวหลบปลายหอกแทงเฉี่ยวข้าง เสียดผิวท้องถูกผ้าสมรดทะลุ หอกก็ปักตรึงอยู่กับดิน
เจ้าราชวงศ์ เวียงจันท์จะดึงหอกขึ้นแทงซ้ำแต่เจ้าพระยาราชสุภาวดี (สิงห์) จับคันหอกยึดไว้ แล้วพยายามชักมีดหมอประจำตัวจะแทงสวนขึ้นไป เจ้าราชวงศ์ เวียงจันท์ ดึงหอกไม่ได้สมประสงค์จึงชักดาบที่คอม้าออก เงื้อจะจ้วงฟันเจ้าพระยาราชสุภาวดี (สิงห์) ฝ่ายหลวงพิพิธ (ม่วง) น้องชายเจ้าพระยาราชสุภาวดี (สิงห์) เห็นดังนั้น จึงกระโจนเข้ารับดาบเจ้าราชวงศ์ เวียงจันท์ เสียทีถูกเจ้าราชวงศ์ เวียงจันท์ ฟันขาดใจตายทันที
ขณะที่เจ้าราชวงศ์ เวียงจันท์กำลังจ้วงฟันอยู่นั้น เจ้าพระยาราชสุภาวดี (สิงห์) ชักมีดหมอออกทัน และได้ทีก็แทงสวนขึ้นไป ถูกโคนขาเจ้าราชวงศ์ เวียงจันท์ เป็นแผลลึกและตัวเจ้าราชวงศ์ เวียงจันท์ ก็ผงะตกจากหลังม้าเลือกสาดแดงฉาน พวกมหาดเล็กเข้าใจว่านายตาย รีบช่วยกันประคองเจ้าราชวงศ์ เวียงจันท์ จัดการหามหนีไปโดยเร็ว
ฝ่ายเจ้าพระยาราชสุภาวดี (สิงห์) ได้จัดการบาดแผลเรียบร้อยแล้ว เร่งทหารให้รีบตามกองทัพเจ้าราชวงศ์ เวียงจันท์ ไปทันที ตามไปจนถึงฝั่งแม่น้ำโขงก็ไม่ทัน จึงเดินทางไปตั้งพักอยู่ที่พันพร้าว การที่เจ้าราชวงศ์ต้องถอยหนีคราวนั้น เป็นผลทำให้ชาวเวียงจันท์เข็ดขยาดกองทัพเจ้าพระยาราชสุภาวดี (สิงห์) เป็นอันมาก แม้จนพระเจ้าอนุวงศ์ก็ไม่คิดที่จะต่อสู้อีก พระเจ้าอนุวงศ์รีบจัดแจงพากันยกหนีไปจากนครเวียงจันท์ในวันรุ่งขึ้น”[๓]
ดังนั้นการที่ “วัดชัยชนะสงคราม” ได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์หลังทำสงครามกับญวนและเขมรเป็นเวลายาวนานถึง ๑๔ ปีจนได้รับชัยชนะสงคราม อีกทั้งการที่ “พระอาจารย์ฉิม” ซึ่งถูกอาราธนามาเป็นเจ้าอาวาสรูปแรกในวัดที่ยกที่ดินบ้านส่วนตัวถวายให้นั้น ย่อมแสดงถึงความสำคัญที่มีต่อวัดชัยชนะสงคราม และพระอาจารย์ฉิม ของเจ้าพระยาบดินทรเดชา
พระอาจาย์ฉิมนั้นเลื่องชื่อในเรื่องทรงแก่กล้าทางวิทยาคม ในทางอยู่ยงคงกระพัน มีความแตกฉานในพระธรรม และตั้งมั่นอยู่ในศีลและพรหมวิหาร อีกทั้งยังเชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคต่างๆ อีกด้วย
การที่ “ขรัวพ่อฉิม” มาเป็นปฐมเจ้าอาวาส วัดชัยชนะสงครามนอกจากจะเป็นพระสงฆ์ผู้ที่ เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)จะให้ความเคารพนับถือแล้ว ยังทำให้วัดชัยชนะสงครามกลายเป็นวัดที่มีปฐมเจ้าอาวาสเป็นหมอยาช่วยเหลือผู้เจ็บป่วยอีกด้วย จึงเท่ากับเป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรงหลังได้รับชัยชนะจากศึกสงครามที่ต่อเนื่องยาวนาน
ตำรับยาที่มีสรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะของยาลม ๓๐๐ จำพวกนั้น ได้กล่าวถึงความสำคัญของยาว่าเป็นยาที่มีคุณค่าดังปรากฏข้อความว่าถ้ารู้แล้วไม่ได้กินยานี้ จะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเหมือนเสียชาติที่ได้เกิดมาเหยียบแผ่นดินนี้ความว่า
“ให้ทำยานี้กินเถิด ถ้าผู้ใดได้ตำรานี้แล้วไม่ทำกิน เหมือนเหยียบแผ่นดินผิดทีเดียวแล” [๑]
อย่างไรก็ตามสรรพคุณที่มียาอายุวัฒนะในระดับยาเทวดาที่อาจจะสร้างความสงสัยให้กับผู้อ่านนั้น พระยาพิษณุประสาทเวช ย่อมต้องทราบอยู่แล้วถึงข้อสงสัยทั้งหลาย จึงได้เขียนบันทึกต่อว่า
“ตำรานี้ท่านคิดปฤษณาได้ อย่าได้สนเท่ห์เลย” [๑]
อย่างน้อยที่สุดปริศนาในเรื่องที่ว่าตำรับ “ยาลม ๓๐๐ จำพวก” นั้นมีฐานะในการเป็น “ยาอายุวัฒนะ” ได้อย่างไรก็ได้ถูกคลี่คลายลง เมือมีการคัดเลือกสมุนไพรให้ได้เครื่องยาที่มีคุณภาพแล้วนำไปทดสอบในมิติการต้านอนุมูลอิสระแล้วพบว่าเครื่องยาเหล่านี้มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้เทียบชั้นได้ในระดับโลก กล่าวคือ
ประการแรกเมื่อพิจารณา มิติการวัดความสามารถในการดูดซับอนุมูลอิสระออกซิเจน หรือ Oxygen Radical Absorbance Capacity (ORAC) เมื่อผลที่ได้มาเทียบเคียงกับ ฐานข้อมูลพืช สมุนไพร ผัก ผลไม้ เครื่องเทศ และอาหารที่มีศักยภาพทั้งหมด ๓๒๖ รายการที่กระทรวงการเกษตรของสหรัฐอเมริกา ได้เคยรวบรวมทดสอบรวบรวมและเผยแพร่เอาไว้เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๓[๒] พบว่า “ยาลม ๓๐๐ จำพวก” มีความสามารถในการดูดซับอนุมูลอิสระออกซิเจนติดอันดับสูงสุด ๑ ใน ๕ อันดับแรก
ประการที่สอง เมื่อนำ “ยาลม ๓๐๐ จำพวก” ๑๐๐ กรัม ไปวัดปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระที่มีชื่อว่ากลุ่มสารโพลีฟินอล โดยเมื่อนำผลที่ได้ไปเปรียบเทียบกับอาหาร สมุนไพร ผัก ผลไม้ เครื่องเทศ และอาหาร ที่คัดเลือกมาว่ามีศักยภาพสูงสุด ๑๐๐ อันดับแรก ซึ่งได้ตีพิมพ์โดยวารสารโภชนาการคลินิกของยุโรป (European Journal of Clinical Nutrition) เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๓ [๔] ปรากฏว่า “ยาลม ๓๐๐ จำพวก” มีสารโพลีฟีนอลในการต้านอนุมูลอิสระติดอันดับสูงสุดเป็น ๑ ใน ๓ อันดับแรกของการทดสอบทั้งหมด
นอกจากนั้นยาลม ๓๐๐ จำพวก มีรสยาออกไปทาง “ขมและร้อน” ที่ช่วยในเรื่องโรคธาตุลม รวมถึงช่วยเรื่องดูดซึม ช่วยเรื่องการย่อย และการเคลื่อนตัวของระบบทางเดินอาหาร ขับลม และเป็นยาระบายอ่อนๆด้วย [๕]
อย่างไรก็ตามยังคงมีปริศนาว่าจะต้องรับประทานต่อเนื่องนานถึง ๙ เดือน โดยไม่มีการเว้นเลยแม้แต่วันเดียว จึงจะได้สรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะนั้น สำหรับบางคนอาจรับประทานได้ในรสยาเช่นนี้ แต่สำหรับบางคนอาจจะทำไม่ได้ก็ได้
ซึ่งก็น่าจะถูกต้องแล้วว่าอาหารหรือยาที่อร่อยรสชาติดีที่มนุษย์ชอบรับประทานมักจะก่อให้เกิดโทษต่อร่างกาย ในทางตรงกันข้ามอาหารหรือยาที่มีสรรพคุณดีก็มักจะรับประทานยาก เหตุก็อาจจะเป็นเพราะ “ยาอายุวัฒนะ” อาจมีไว้สำหรับบางคน แต่ไม่ได้มีไว้สำหรับทุกคนก็ได้
ซึ่งความจริงแล้วตำรับยานี้ได้ระบุให้ใช้น้ำกระสาย หรือตัวทำละลายได้ ๔ กรณี คือ น้ำร้อน น้ำส้ม น้ำส้มซ่า น้ำผึ้ง ซึ่งมีข้อน่าสังเกตว่า ตำรับยานี้ได้มีการบันทึกน้ำกระสายเป็น “น้ำร้อน” ซ้ำถึง ๒ ครั้ง คือครั้งแรก และครั้งสุดท้าย ความว่า
“ตำเปนผงละลายน้ำร้อนหรือน้ำส้มก็ได้ หรือส้มซ่าก็ได้ น้ำผึ้งก็ได้ หรือน้ำร้อนก็ได้”[๑]
น้ำกระสายยาในทางเภสัชกรรมแผนไทย น้ำหรือของเหลวที่ใช่สำหรับละลายยา โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้
วัตถุประสงค์แรก เพื่อให้ กลืนยาง่าย ไม่ฝืดหรือติดคอ และช่วยแต่งให้มีรส สี กลิ่น น่ารับประทาน
วัตถุประสงค์ที่สอง เพื่อช่วยให้ยามีฤทธิ์ตรงต่อโรค นำฤทธิ์ยาให้แล่นเร็ว ทันต่ออากาศของโรค
วัตถุประสงค์ที่สาม เพื่อเพิ่มสรรพคุณของยา ให้มีฤทธิ์แรงขึ้น หรือให้มีฤทธิ์ช่วยตัวยาหลัก ในการรักษาอาการข้างเคียง
สำหรับตำรับยาลม ๓๐๐ จำพวกนี้ “น้ำร้อน” จะเป็น “ตัวทำละลายยา” ดีที่สุด กลิ่นยาจะหอมฟุ้งขึ้นมาแบบยาไทยอย่างชัดเจน
ในขณะที่น้ำกระสายอื่นที่อาจทำให้รสชาติไม่แรงเท่าคือ น้ำส้ม น้ำส้มซ่า และน้ำผึ้ง ซึ่งอาจทำให้รับประทานได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตามการที่เขียนเอาไว้ว่าให้ใช้ “น้ำร้อน” เป็นตัวทำละลายถึง ๒ ครั้ง อาจถูกตีความว่าน้ำร้อนน่าจะเหมาะสมที่สุด หรือไม่
อย่างไรก็ตามสำหรับน้ำผึ้งนั้นมาเป็นน้ำกระสายยาจะช่วยแก้อกแห้ง ชูกำลัง แต่ก็จะต้องเป็นน้ำผึ้งแท้เท่านั้น และน้ำผึ้งเก่าอาจจะช่วยเสริมฤทธิ์ในการถ่ายด้วย
อย่างไรก็ตามน้ำผึ้งและน้ำผึ้งรวงปกติเป็นได้ทั้งอาหารและยา ด้วยความเหนียวและความสามารถในการเกาะตัว น้ำผึ้งจึงสามารถนำมาประยุกต์กับยาผงปั้นเป็นลูกกลอน แล้วกลืนลงไปแล้วตามด้วยน้ำร้อนได้ตามตำราที่ต้องการ โดยน้ำผึ้งยังมีสรรพคุณบำรุงกำลัง แก้สะอึก แก้ไข้ตรีโทษ และเป็นยาอายุวัฒนะโดยตัวน้ำผึ้งเองอีกด้วย
ส่วนน้ำส้ม และน้ำส้มซ่า ได้จากการบีบหรือคั้นน้ำจากผลแก่จัดของส้มหรือส้มซ่า มีรสเปรี้ยวอมหวาน สรรพคุณกัดฟอกเสมหะ เป็นยาฟอกโลหิต
ซึ่งจะเห็นว่าแม้ตำรับยานี้จะไม่ได้บอกเอาไว้ว่ายาลม ๓๐๐ จำพวกจะเหมาะสำหรับการใช้น้ำกระสายแบบใดและกับใคร แต่อย่างน้อยสำหรับผู้ที่ต้องการรับประทานยานี้ย่อมจะมีทางเลือกในการรับประทานได้มากขึ้น
ส่วนเวลาในการรับประทานยานั้นแม้ตำรับยานี้จะไม่ได้บอกเป็นการเฉพาะ แต่เนื่องจากเป็นยาที่ทั้งขมและร้อนและแก้โรคทางลม จึงเหมาะแก่พิกัดยาธาตุลม จึงควรบริโภคในเวลา ๑๕.๐๐ น.-๑๘.๐๐ น.ของทุกวัน
ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต
อ้างอิง
[๑] สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ, หนังสือชุดวรรณกรรม หายาก แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ : ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยและมรดกทางวรรณกรรมของชาติ, ๑,๐๒๕ หน้า องค์การค้าของ สกสค. จัดพิมพ์จำหน่าย พิมพ์ครั้งที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๕๔, จำนวน ๓,๐๐๐ เล่ม, ISBN: ๙๗๘-๙๗๔-๐๑-๙๗๔๒-๓, หน้า ๗๕๐-๗๕๑
[๒] ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, “ยาลม ๓๐๐จำพวก” ยาอายุวัฒนะ ในตำรายาหลวงสมัยรัชกาลที่ ๕ ต้านอนุมูลอิสระระดับโลก, Fanpage ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๔, และ MgrOnline, ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๔
https://www.facebook.com/123613731031938/posts/4786591008067497/
https://mgronline.com/daily/detail/9640000124643
[๓] ที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ เสวกเอก พระยานครราชเสนี (สหัด สิงหเสนี), ที่เมรุวัดเทพศิรินทราวาส ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๗ จดหมายเหตุเกี่ยวกับเขมรและญวณในรัชกาลที่ ๓ ตอนที่ ๑, วันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๑, พิมพ์ที่โรงพิมพ์พระจันทร์, หน้า (ช)-(ฌ)
https://digital.library.tu.ac.th/tu_dc/digital/api/DownloadDigitalFile/dowload/138344
[๔] David B. Haytowitz and Seema Bhagwat, USDA Database for the Oxygen Radical Absorbance Capacity (ORAC) of Selected Foods, Release 2, Nutrient Data Laboratory, Beltsville Human Nutrition Research Center (BHNRC), Agricultural Research Service (ARS),U.S. Department of Agriculture (USDA), May 2010
[๕] J Pérez-Jiménez, V Neveu, F Vos & A Scalbert, Identification of the 100 richest dietary sources of polyphenols: an application of the Phenol-Explorer database, The European Journal of Clinical Nutrition (EJCN), Published: 03 November 2010