ปิดฉากสัปดาห์นี้...ด้วยข่าวที่อาจจะ “ดูดี” หรือฟังแล้วพอเบาๆ-สบายๆ ขึ้นมาได้มั่ง หรือไม่? อย่างไร? ก็ลองไปวินิจฉัยกันเอาเองก็แล้วกัน นั่นคือ...ข่าวอภิมหาโคตะระเศรษฐีระดับโลก อย่างคุณพี่ “บิล เกตส์” ท่านได้ออกมาให้ความหวัง หรือออกมาทำนายทายทัก ว่าการออกฤทธิ์ ออกเดช ออกอาละวาด ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่ว่าสายพันธุ์เก่า สายพันธุ์ใหม่ หรือสายพันธุ์ใดๆ ก็แล้วแต่ ที่ลากยาวว์ว์ว์ประมาณ 2 ปีเข้าไปแล้ว น่าจะหมดฤทธิ์ หมดเดช สูญสลายหายสิ้นไปจากโลกใบนี้ ภายในปีหน้า-ฟ้าใหม่ หรือไม่น่าจะเกินไปกว่านี้...
นี่...ฟังแล้วจะชื่นใจ ชื่นทรวง เชื่อ-ไม่เชื่อ หรือไม่ อย่างไร คงต้องเก็บไปฝัน ไปละเมอกันเอาเองนั่นแล แต่โดยในแง่สถานะ บทบาท ของคุณพี่ “บิล เกตส์” นั้น นอกเหนือไปจากความเป็นอภิโคตะระมหาเศรษฐีในด้านธุรกิจสื่อสารคมนาคมแล้ว ก็คงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า ท่านก็ออกจะมีความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องเชื้อโรค เรื่องการแพทย์ การสาธารณสุขอยู่พอสมควรเหมือนกัน คือไม่เพียงแต่เป็นเจ้าของมูลนิธิที่ศึกษาค้นคว้า และให้การบริจาคในเรื่องทำนองนี้เป็นการเฉพาะ แต่โดยความคิด ความสนใจ ในแง่ส่วนตัวของท่าน บางครั้ง-บางคราว...ถึงกับทำให้บรรดาพวก “นักทฤษฎีคิด” ทั้งหลาย หยิบไปกล่าวหา กล่าวโทษ หาว่าท่านเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความปรารถนาและต้องการ ในอันที่จะลดจำนวนประชากรในโลกนี้ ไม่ให้ถึงกับรกโลกจนเกินไป ด้วยความรู้ ด้วยข้อมูลทางการแพทย์ทั้งหลายนี่แหละ เพื่อให้โลกที่ใครใคร่ค้า-ค้า ใครใคร่ขาย-ขาย ใครใคร่กด-กด ใครใคร่ขี่-ขี่ ฯลฯ หรือโลกตามแบบฉบับ “ทุนนิยมเสรี” ยังคงพออยู่ได้ ยังทำให้บรรดาอภิมหาเศรษฐีทั้งหลายสามารถ “รวยไม่เสร็จ” ไปโดยตลอด อะไรประมาณนั้น...
ซึ่งอันนี้...จริง-ไม่จริง เชื่อ-ไม่เชื่อ คงต้องฟังหู-ไว้อีกนั่นแหละ แต่ดูเหมือนว่าช่วงวันอังคาร (21 ธ.ค.) ที่ผ่านมานี่เอง ท่านได้ออกมา “ทวีต” อย่างเป็นเรื่อง เป็นราว ว่าโอกาสที่บรรดามวลมนุษย์ทั้งหลายจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติ หลังจากได้ผ่านพ้น “จุดที่เลวร้ายที่สุด” มาแล้ว น่าจะไม่เกินเลยไปจากปีหน้า-ฟ้าใหม่ หรือภายในปี ค.ศ. 2022 โดยเฉพาะถ้าผู้คนส่วนใหญ่ยังคงก้าวเดินไปอย่างถูกทิศ-ถูกทาง ไม่ว่าในเรื่องการสวมหน้ากาก การหลีกเลี่ยงการสุมหัว รวมตัว ในที่ร่ม ที่อับ ไปจนถึงการฉีดวัคซีนแบบชนิดเข็มแล้ว เข็มเล่า ที่ทำให้อภิมหาเศรษฐีวัคซีน “รวยเช็ด” อีกไม่รู้จะกี่พัน กี่หมื่นล้าน จนตราบเท่าทุกวันนี้ ฯลฯ ส่วนกรณีเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ตัวใหม่อย่าง “Omicron” ที่กำลังทำเอาใครต่อใครหูแหก-ตาแหก ไปทั่วยุโรปและอเมริกานั้น ท่านเชื่อว่าน่าจะหนักหนา-สาหัส น่าจะเลวร้ายอยู่แค่ประมาณ 3 เดือนนับจากนี้ แต่ด้วยการก้าวไปอย่างถูกทิศ-ถูกทางของคนส่วนใหญ่และของรัฐบาลทั้งหลาย สุดท้าย...ทุกสิ่งทุกอย่างก็น่าจะ “แฮปปี้เอนดิ้ง” ภายในไม่เกินปีหน้านั่นเอง...
โดยไม่ว่าจริง-ไม่จริง เชื่อ-ไม่เชื่อ...แต่จากคำพูด คำจา ของอภิมหาโคตะระเศรษฐีรายนี้ ก็เผอิญไปตรงกับความมุ่งมาดปรารถนาของผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก หรือ “WHO” อย่าง “นายเทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส” (Tedros Adhanom Ghebreyesus) ที่พูดเอาไว้เมื่อช่วงวันจันทร์ (20 ธ.ค.) ที่ผ่านมาแบบพอดิบ พอดี ที่ออกมาป่าวประกาศเอาไว้ประมาณว่า... “ภายในปี ค.ศ. 2022 จะต้องหาทางจบการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดลงไปให้จงได้!!!” โดย “WHO” พร้อมที่จะใช้อำนาจและทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่มีอยู่ในมือ เพื่อหาทางหยุดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสตัวนี้ ไม่ให้เป็นอะไรที่ยืดเยื้อคาราคาซังอีกต่อไป แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ...จะทำได้-ทำไม่ได้ อันนี้คงไม่ได้ขึ้นอยู่กับนายเทดรอด-เทดไม่รอด อัดฮานอมหรืออัดอะไรต่อมิอะไรแต่เพียงลำพัง แต่มันคงต้องขึ้นอยู่กับโลกทั้งโลกนั่นแหละ ว่าจะเป็นไปในแนวไหน เป็นไปในทางที่เอื้ออำนวยกับความมุ่งมาดปรารถนาของผู้อำนวยการ “WHO” หรือกลับกลายเป็นอุปสรรคชะงักงัน จนไวรัสตัวนี้มันอาจ “กลายพันธุ์” ให้ต้องยุ่งยาก ปวดเศียรเวียนเกล้าหนักขึ้นไปอีก...
หรืออย่างที่คอลัมนิสต์สื่อทางการของจีน อย่าง “Global Times” “นายZhang Hui” เขาได้ตั้งข้อสังเกตไว้ในข้อเขียน บทความเมื่อช่วงวันอังคาร (21 ธ.ค.) ที่ผ่านมานั่นแหละว่า สิ่งที่มันพอจะช่วยให้ความมุ่งมาดปรารถนาในลักษณะดังกล่าวเป็นจริง-เป็นจัง ขึ้นมาจริงๆ มันคงต้องอาศัย “เงื่อนไข” เริ่มแรกเป็นองค์ประกอบไปด้วยกันหลายต่อหลายอย่าง เช่น การสร้างความร่วมมือ-ร่วมใจของบรรดานักวิทยาศาสตร์ ในการประดิษฐ์คิดค้น “วัคซีน” ที่มีประสิทธิภาพสูงยิ่งไปกว่าเท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หรือไม่ใช่เพียงวัคซีนที่ช่วยป้องกันไม่ให้ต้องป่วย ต้องตาย หรือแค่ช่วยลดระดับความรุนแรงของเชื้อไวรัสตัวนี้เท่านั้น แต่อาจต้องประดิษฐ์คิดค้นไปถึงขั้นประเภทวัคซีนที่สามารถสูดหายใจเข้าไปในปอดได้ อันจะเป็นตัวป้องกันการ “แพร่ระบาด” ไม่ใช่แค่การลดระดับความรุนแรงลงไปเท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์จีนแห่งสถาบันการแพทย์ทางทหาร หรือ “CanSinoBIO” กำลังพยายามสุมหัว รวมตัว สร้างวัคซีนชนิดนี้ออกมาให้จงได้...
แต่อีกเงื่อนไขที่น่าสนใจเอามากๆ...ก็คือการที่ “WHO” จะต้องเล่นบทเป็นตัวนำ อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลให้มากๆ เข้าไว้ ในการหาทางไม่ให้เกิด “ความไม่เท่าเทียมกันในเรื่องวัคซีน” อันเป็นสิ่งที่ยากส์ส์ส์เอามากๆ ไม่ต่างไปจากการหาทางทำให้ไม่เกิดความเหลื่อมล้ำ เกิด “ช่องว่าง” ระหว่างความรวย-ความจน โลกรวย-โลกจน หรือโลกเหนือ-โลกใต้ อย่างเท่าที่เป็นอยู่มานับเป็นศตวรรษๆ เข้าไปแล้ว เพราะถ้าหากว่ากันตามความคิด-ความเห็น ของผู้อำนวยการสถาบันที่มีชื่อว่า “O’Neil Institute for National and Global Health Law” อย่าง “นายLawrence Gostin” ที่ออกมาให้สัมภาษณ์สำนักข่าว “อัลจาซีราห์” ไปเมื่อวันพุธ (22 ธ.ค.) ที่ผ่านมา พอสรุปสั้นๆ ง่ายๆ ได้ว่า...การแจกจ่ายวัคซีนให้กับบรรดาประเทศต่างๆ ในโลกนี้ หรือการสร้าง “ความเท่าเทียมกันในเรื่องวัคซีน” แสดงให้เห็นถึง “ความล้มเหลวอย่างลึกซึ้งไม่ต่างไปจากการสะท้อนให้เห็นถึงวิกฤตทางศีลธรรมของโลก” เอาเลยก็ว่าได้...
คือพูดง่ายๆ ว่า...ขณะที่มีเพียงแค่ 5 ชาติในทวีปอันสุดจะจนแสนจนอย่างแอฟริกาเท่านั้น ที่สามารถฉีดวัคซีนให้กับผู้คนภายในประเทศตัวเองไปแล้วประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ ส่วนชาติอื่นๆ นอกเหนือไปจากนั้นฉีดได้แค่ไม่เกินกว่า 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง และยังมีอีกถึง 92 ชาติที่กำลังตกอยู่ในภาวะขาดแคลนวัคซีน ตามตัวเลข สถิติของ “Duke University” แต่ปรากฏว่า...ในช่วงระยะเดียวกันนี่แหละ บรรดาประเทศรวยๆ ทั้งหลายกลับกลายเป็นประเทศที่พยายามเก็บกักวัคซีนเอาไว้ฉีดผู้คนในประเทศตัวเอง มากไปกว่าจำนวนประชากรทั้งหมดถึง 50 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น ยิ่งเป็นประเทศประเภท “รวยไม่เสร็จ” ไม่ใช่ “รวยแต่มะเขือ” เหมือนบรรดาประเทศในแอฟริกาทั้งหลาย อย่างเช่นประเทศ “G7” เป็นต้น ว่ากันว่า...ในทุกวันนี้เก็บกักวัคซีนไว้ในมือไม่น้อยไปกว่า 834 ล้านโดสด้วยกัน ขณะที่ประเทศจนๆ กำลังดิ้นรนที่จะหาวัคซีนมาบรรเทาการขาดแคลน จำนวนไม่น้อยกว่า 650 ล้านโดสเป็นอย่างน้อย...
ยิ่งเมื่อมีข่าวการติดเชื้อ แพร่เชื้อได้อย่างรวดเร็วเอามากๆ ของเชื้อไวรัสตัวใหม่อย่าง “Omicron” ก็ยิ่งทำให้เกิดการเก็บกักวัคซีนเอาไว้สำหรับการกระตุ้น ขณะที่ประเทศจนๆ บางประเทศ แม้แต่แค่ “เข็มหนึ่ง” ก็ยังไม่มีโอกาสจึ๊กๆๆ เอาเลยแม้แต่น้อย อันนี้นี่แหละ...ที่มันทำให้การวิวัฒนาการ การกลายพันธุ์ ที่อุบัติขึ้นมาในแถบแอฟริกาใต้ จึงแทบไม่ต่างไปจาก “ผลกรรม” หรือผลแห่งการกระทำ อันเนื่องมาจาก “ความไม่เท่าเทียมกัน” ระหว่างโลกรวย-โลกจน คนรวย-คนจน ที่ยังคงปรากฏอยู่ใน “โลกแห่งทุนนิยม” มาโดยตลอด ยิ่งเป็น “ทุนนิยมเสรี” ที่ช่วยเปิดโอกาส ช่วยเพิ่มอิสระและเสรี ให้กับใครที่ใครใคร่ค้า-ค้า ใครใคร่ขาย-ขาย ใครใคร่กด-กด ใครใคร่ขี่-ขี่ จนทำให้คุณพี่ “บิล เกตส์” กลายไปเป็นอภิมหาโคตะระเศรษฐีได้แบบสบายๆ ดังนั้น...การอุบัติขึ้นมาของท่านเชื้อไวรัสตัวนี้ ไม่ว่าต้องจบลงไปในตอนไหน แบบไหน แต่ต้องถือเป็นตัวช่วยเปิดโปง เปิดโฉมหน้าของสิ่งที่อาจร้ายกาจเสียยิ่งกว่า “เชื้อโรค” นั่นก็คือเชื้อแห่งความโลภ หรือเชื้อแห่งกิเลสทั้งหลาย...นั่นเอง!!!