ทั่วทั้งทวีปยุโรปกำลังเผชิญการระบาดหนักของเชื้อไวรัสโควิด-19 รวมทั้งสายพันธุ์ใหม่โอมิครอน ซึ่งแหล่งระบาดหนักช่วงนี้ ในอังกฤษมีตัวเลขคนติดเชื้อนี้แล้วมากกว่า 14,000 คน ส่งผลกระทบด้านการเมืองและความเชื่อมั่นของประชาชนอย่างมาก
รวมแล้วการระบาดแต่ละวันในอังกฤษมีมากกว่า 90,000 รายสร้างปัญหาให้กับนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ซึ่งวงการเมืองมองว่าสถานการณ์ไม่ดีเอามากๆ
สายพันธุ์โอมิครอนกำลังเป็นปัญหาใหญ่ของโลก โดยที่ยังไม่มีวัคซีนตัวใหม่มาจัดการเพราะที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถคุ้มครองได้ และคงต้องใช้เวลาศึกษาวิจัยและผลิตกว่าจะได้วัคซีนที่เหมาะสม
เมื่อเกือบทั้งโลกเป็นอย่างนี้ ในบ้านเราว่าอย่างไรกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในยุโรป สหรัฐฯ และในทวีปอื่นๆ รัฐบาลตระหนักหรือไม่ว่าประชาชนคิดอย่างไร
ไม่กี่วันก่อนเสนาบดีรับผิดชอบกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งไม่ได้ประกอบอาชีพแพทย์ยังบอกว่าเชื้อโควิด สายพันธุ์โอมิครอน ถูกมองว่าเป็น “โรคกระจอก” อีกแล้ว
ก่อนหน้านี้ในช่วงที่ประเทศไทยมีคนติดเชื้อต่ำกว่า 20,000 ราย และไม่มีความพร้อมเรื่องการสั่งวัคซีนหรือมาตรการป้องกัน เพราะได้รับคำชมจากองค์การอนามัยโลกว่าระบบการแพทย์ของประเทศไทยเจ๋งมากในการจัดการเรื่องโควิด-19
เราถูกชมจนเหลิง ได้รับการยกย่องกว่าเป็นต้นแบบของความสำเร็จในระบบป้องกัน และมีประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะการดูแลโดยกลุ่มอาสาสมัคร
เสนาบดีถึงขั้นใช้คำว่า “โรคกระจอก” ผู้กุมอำนาจรัฐหลงใหลได้ปลื้มกับคำยกย่อง ยิ้มแก้มปริ ไม่สั่งจองวัคซีน เพราะเชื่อมั่นว่า “เอาอยู่” ทั้งๆ ที่หลายประเทศที่ว่าแน่ยังไม่สามารถรับกับการระบาดได้ การแพทย์แทบล่ม คนติดเชื้อ ตายเป็นเบือ
หลังจากนั้นไม่รู้ว่าอะไร “กระจอก” กันแน่ หลังจากผู้นำประเทศปล่อยวางช่วงสงกรานต์ให้มีการระบาดของเชื้ออัลฟาอย่างเสรี และการปิดแคมป์คนงานให้มีการระบาดของเชื้อเดลตาโดยอิสระแลกกับความนิยมของประชาชน
ผลที่ตามมาก็คือตัวเลขการติดเชื้อของไทยไต่อันดับอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันนี้มีมากกว่า 2.1 ล้านราย มีคนเสียชีวิตแล้วมากกว่า 20,000 ราย ทุกวันนี้ก็ยังไม่หยุดสภาวะ “กระจอก” มีคนป่วยติดเชื้อรายวัน 2-3 พันราย ยังไม่รวมตัวเลขเอทีเค
ยังไม่เข็ด ไม่จำบทเรียน การใช้จ่ายงบประมาณอย่างมหาศาล ความตายของคนกว่า 2 หมื่นราย แต่ความอยากได้เงินจากนักท่องเที่ยวทำให้ผู้มีอำนาจยังไม่ประกาศมาตรการเข้มหรือปิดประเทศเพราะยังเชื่อมั่นว่าจะรับมือได้
ประสบการณ์ที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นความล้มเหลวอย่างแรง ทำให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 24 ของกลุ่มประเทศที่มีการระบาดของโควิด-19 หลายสายพันธุ์
ทั่วทั้งยุโรปช่วงนี้ต้องยกเลิกงานเทศกาลเฉลิมฉลองช่วงคริสต์มาสและปีใหม่ บางประเทศต้องล็อกดาวน์ อันเนื่องมาจากการระบาดอย่างหนัก แต่ในบ้านเรายังใจเย็นทำให้นึกถึงหายนะรอบ 3 ที่จะเกิดขึ้น หวังเอาใจชาวบ้าน เสริมความนิยม
วันก่อนคอนเสิร์ตงานช้างที่สุรินทร์มีคนเข้าร่วมกว่า 20,000 ราย ดูภาพแล้วสร้างบรรยากาศแออัดยัดเยียดเต็มพื้นที่จัดงาน ดูสยองน่าขนหัวลุก เมื่อเจ้าหน้าที่พบว่ามาตรการตรวจคนเข้างานไม่เข้มงวดเพียงพอก็สั่งให้เลิกจัดงาน
จากนี้ไปถ้าจะมีการระบาดหรือความเสียหายเท่ากับว่าการสั่งปิดงานสายไปแล้ว ก็หวังเพียงแต่ว่าคนที่ไปนั้นจะไม่สร้างคลัสเตอร์ใหม่ สร้างปัญหาหนักอีกรอบให้วงการแพทย์และบุคลากรที่ยังคงเหนื่อยล้ากับการรับมือการระบาด
เกิดอะไรขึ้นกับหน่วยงาน องค์กรที่ต้องรับผิดชอบดูแลควบคุมการระบาดที่มีหัวหน้ารัฐบาลเป็นประธานโดยตำแหน่งและมีนายแพทย์อาวุโสเป็นองค์ประกอบว่าควรประเมินสถานการณ์ปัจจุบันว่าอยู่ในระดับอันตรายหรือไม่
แต่ดูเหมือนว่าอำนาจต่างๆ ของฝ่ายแพทย์ไม่สามารถเทียบชั้นกับนักการเมืองที่ดูแลโครงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งมุ่งแต่การหารายได้โดยที่ไม่ต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบในความเสียหาย ความสูญเสีย ทั้งคนเจ็บป่วยและเสียชีวิตที่จะตามมา
ถ้าบรรดาแพทย์เหล่านั้นมีความเป็นมืออาชีพและห่วงใยบ้านเมืองอย่างแท้จริง ก็ต้องมีความกล้าหาญในการแสดงความคิดเห็นเรื่องความเสี่ยงต่อการระบาดรอบใหม่ เพราะเห็นกันอยู่แล้วว่าเราประสบความล้มเหลว 2 รอบเพราะอำนาจการเมือง
เมื่อไม่มีเสียงคัดค้านหรือไม่กล้าค้าน เท่ากับว่าเราพร้อมที่จะให้บ้านเมืองเผชิญกับความเสี่ยงอีกรอบซึ่งจะเกิดขึ้นหลังเทศกาลปีใหม่ตามความคาดหมายของบรรดาแพทย์ซึ่งไม่อยู่ในกลุ่มที่ตัดสินใจระดับชาติเช่นนั้นหรือ
จริงอยู่ทุกอย่างต้องดำเนินต่อไปและเราต้องอยู่กับโรคโควิด-19 ให้ได้เพื่อความอยู่รอดทางเศรษฐกิจ แต่เมื่อเห็นภัยรออยู่อย่างนี้การปล่อยวางเพื่อหวังผลด้านเศรษฐกิจและความนิยมเท่ากับเป็นความไม่รับผิดชอบต่อผลพวงที่จะตามมา
โดยความเป็นจริงแม้จะไม่มีมาตรการปิดล็อก สภาพบังคับของการระบาดต่อไปถ้าเกิดขึ้นก็จะเป็นตัวที่บังคับอยู่ดีเพราะไม่มีใครกล้าเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของกิจการร้านอาหารหรือผู้บริโภค เป็นการล็อกดาวน์โดยไม่จำเป็นต้องมีคำประกาศ
ที่ว่ามานี้ไม่ได้หวังว่าจะให้เกิดขึ้น นี่เป็นการคาดหมายของบรรดาแพทย์ผู้รู้ทั้งหลาย แต่ไม่กล้าส่งเสียงดัง เกรงว่าจะขัดใจ ไม่สบอารมณ์ของผู้มีอำนาจ
ถ้าไม่มี “โรคกระจอก” ระลอกใหม่ ถือว่าเป็นบุญ ถ้ามี ชาวบ้านจะรอฟังคำแก้ตัวพร้อมคำอ้างที่จะต้องกู้เงินอีกก้อนใหญ่เพื่อแก้ปัญหาที่ไม่มีใครรับผิดชอบ