เปิดฉากสัปดาห์นี้...ถ้าจะว่ากันถึงความเป็นไปของโลก โดยเฉพาะของประเทศต่างๆ ที่เคยใหญ่ เคยโต เคยครอบโลก งำโลกมาโดยตลอด คงต้องเรียกว่า...ออกลักษณะอาการพอๆ กับ “สุนทรภู่”ช่วงบวชพระ หรือช่วงที่กำลังนั่งรจนาบทกลอน บทกวี ว่าด้วยเรื่อง “นิราศภูเขาทอง” อะไรทำนองนั้น คือออกจะหนักไปทาง “ทั้งโรคซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น-ไม่เล็งเห็นที่ซึ่งจะพึ่งพา” เอาเลยก็ว่าได้...
ยิ่งในช่วงหน้าหนาว ฤดูหนาวที่กำลังมาเยือน แม้จะเต็มไปด้วยวันหยุด วันเฉลิมฉลอง อะไรต่อมิอะไรเยอะแยะ ยั๊วะเยี๊ยะไปหมดก็เถอะ!!! แต่แค่ฟังจากคำพูด คำปรารภ รำพึงช่วงล่าสุด ของผู้ซึ่งอยู่ในฐานะผู้นำโลก หรือจะเรียกว่า “ประมุขโลก” เอาเลยก็ว่าได้ อย่าง “ผู้เฒ่าโจ ซึมเซา”หรือ “โจ ไบเดน”ประธานาธิบดีอเมริกันคนปัจจุบันแล้ว ต้องเรียกว่า...เล่นเอาขนหัวลุก ขนคอตั้ง กันไปเป็นแถบๆ หรือเล่นเอา “หนาวว์ว์ว์”ซะยิ่งกว่าหนาว โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า... “อาจเป็นฤดูหนาวแห่งการป่วยและการตาย” ของบรรดาอเมริกันชนทั้งหลายเอาเลยก็ไม่แน่???
คือเหตุที่ต้อง “หลุดปาก” ออกมาในทำนองนี้...มันก็คงไม่ถึงกับเกินเลย หรือเกินไปกันสักเท่าไหร่นัก เพราะจำนวนตัวเลขการป่วย-การตาย ของบรรดา “ผู้ติดเชื้อ” ท่านไวรัสโควิด-19 ไม่ว่าสายพันธุ์เก่า สายพันธุ์ใหม่ ไม่ว่าเดลตา หรือโอมิครอนที่กำลังมาเร็วและมาแรง แพร่ระบาดพรวดเดียวปาเข้าไปถึง 77 ประเทศทั่วโลกเข้าไปแล้ว โดยเฉพาะประเทศ “แชมป์โรค”อย่างคุณพ่ออเมริกานั้น ออกจะหนักหนา-สาหัสเอามากๆ ไม่ว่าจะพยายามไล่ฉีด ไล่จิ้ม ไล่ทิ่ม “วัคซีน” ไปแล้วกี่ล้านต่อกี่ล้านโดสก็ตามที ล่าสุด...หรือเมื่อช่วงวันพฤหัสฯ (16 ธ.ค.) สัปดาห์ที่ผ่านมานี่เอง จำนวนผู้ติดเชื้อยังคงพุ่งทะลุไปถึงวันละ 117,000 ราย ส่วนการเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ปาเข้าไปถึงวันละ 1,150 ราย หรือตายกันคืนละพัน วันละเพลง อย่างชนิดน่าสยดสยองเอามากๆ!!!
ไม่ต่างไปจากพันธมิตรผู้เคียงบ่า-เคียงไหล่ ครอบโลก งำโลก มาโดยตลอด อย่างผู้ดีอังกฤษ หรืออดีต “จักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน”นั่นแหละทั่น ที่ออกจะงอมพระราม งามพระลักษณ์ช่วงที่ถูกหอกโมกขศักดิ์ปักอกอะไรประมาณนั้น ทั้งๆ ที่เพิ่งฉลอง “วันเสรีภาพ”อันเนื่องมาจากการปลดปล่อยประเทศ จากมาตรการคุมเข้มต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดไปหมาดๆ แต่เมื่อเจอเข้ากับจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อเดลตา โอมิครอน ครั้งล่าสุด หรือช่วงวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา ที่พุ่งขึ้นไปถึงวันละ 88,376 ราย ไล่เบียด ไล่หายใจรดต้นคอ “แชมป์โรค”อย่างคุณพ่ออเมริกาแบบติดๆ ก็เล่นเอาผู้นำประเทศอย่างนายกรัฐมนตรีหัวกระเซิง “นายบอริส จอห์นสัน” ถึงกับ “ผงะ”หรือเล่นเอาผมยุ่ง ผมร่วง หรือผมเผ้าไม่เป็นรูป-เป็นร่าง ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...
เรียกว่า...ไม่ว่าจะเป็นอเมริกันฟุตบอล หรือฟุตบอล “NFL”ไปจนถึงฟุตบอลสโมสรระดับ “พรีเมียร์ลีก”ของอังกฤษที่เคยให้ความสนุกสนานบันเทิงเริงรมย์ ต่อชาวอังกฤษและชาวโลก ชนิดต้องกลายสภาพเป็นสาวก “ผีแดง”หรือ “หงส์แดง” ไปแทบจะทั้งโลก แต่มา ณ บัดนี้ ไม่เพียงแต่ “สนุกไม่ออก” แต่ถึงกับ “เล่นไม่ออก”เอาเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะหลังจากที่ได้เช็กได้ตรวจสอบ พบว่านักฟุตบอล “NFL” ไม่ต่ำกว่า 100 คน ติดเชื้อเดลตา หรือโอมิครอนก็แล้วแต่จะไปว่ากันอีกที ไม่ต่างไปจากบรรดานักฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ในแต่ละสโมสรนั่นแหละ ที่ต่างต้องเจอกับการแพร่เชื้อ ติดเชื้อ ชนิดงอมๆ แงมๆ กันไปเป็นสโมสรๆ ถึงกับต้องเลื่อนการเตะ การลงสนามไปถึง 6 คู่ด้วยกัน เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา หรือถึงขั้นแม้แต่พระราชินีอังกฤษ อย่าง “ควีนเอลิซาเบธ” ก็เถอะ หนีไม่พ้นต้องออกประกาศงดพิธีการเฉลิมฉลองก่อนวันคริสต์มาส หรือวัน “Thanksgiving” เอาดื้อๆ!!!
และไม่เพียงต้องเจอกับ “โรค” เจอเดลตา เจอโอมิครอน กระหน่ำซ้ำเติม อย่างชนิดงอมพระราม งามพระลักษณ์ไปตามๆ กัน ไม่ว่าคุณพ่ออเมริกา หรือคุณพี่อังกฤษ แต่ยังหนีไม่พ้นต้องเจอ “กรรม” ซัดสาดเข้ามา จนแทบไม่ต่างอะไรไปจากครูกลอน “สุนทรภู่”อย่างที่ว่าเอาไว้แล้วนั่นแหละ หรือขณะที่ประเทศคุณพ่ออเมริกากำลังต้องเจอกับ “ภาวะเงินเฟ้อ” ระดับสูงสุดในรอบ 30-40 ปี (39 ปี) ข้าว-ของทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าแดง-ไม่แดง...แต่ออกจะแพงแบบสุดๆ ไม่ว่าน้ำมันหรือแก๊สไปจนกระทั่งราคาอาหารในช่วงวันฉลองคริสต์มาส ฯลฯ อันเนื่องมาจากอัตราตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นไปถึง 6.8 เปอร์เซ็นต์ ปรากฏว่าคุณพี่อังกฤษ ไม่ว่าผู้ดี-ไม่ผู้ดีก็แล้วแต่ หนีไม่พ้นต้องเจอกับ “ภาวะเงินเฟ้อ” ระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี หรืออัตราตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นไปถึง 5.1 เปอร์เซ็นต์...
เรียกว่า...เล่นเอาไม่ว่าผู้นำโลกอย่างประธานาธิบดีอเมริกัน หรือนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศพันธมิตรระดับ “สุนัขพูเดิล” อย่างอังกฤษ ต่างตกอยู่ในอาการง่อกแง่ก ง่อนแง่นไปด้วยกันทั้งคู่ สำหรับอเมริกานั้น...ถ้าดูจากโพลของสำนักข่าวฟอกซ์นิวส์ หรือ “Fox News poll” คราวล่าสุด เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา ที่สรุปเอาไว้ชัดเจนว่าบรรดาอเมริกันชนจำนวนถึง 2 ใน 3 ต่างหันไปกล่าวโทษ กล่าวหา ว่าอะไรที่มันออกจะแพงแสนแพงอยู่ในทุกวันนี้ ก็เนื่องมาจากดันมีผู้นำประเทศที่ชื่อว่า “โจ ไบเดน”หรือ “โจ ซึมเซา” ผู้นี้นี่เอง!!! หรือเป็นเพราะนโยบาย “Build Back Better”ที่พยายามทุ่มเทเม็ดเงินนับล้านล้านหรือ 1.75 ล้านล้านดอลลาร์เข้ามาในระบบเศรษฐกิจอเมริกา ทั้งๆ ที่แบงก์ดอลลาร์แทบกลายเป็น “แบงก์กงเต๊ก” ไปแล้วในทุกวันนี้ ก็คือตัวการสำคัญที่ทำให้อะไรต่อมิอะไรมันเลยแพงแสนแพง อย่างชนิดไม่ใช่แค่ “ชั่วครั้ง-ชั่วคราว”แต่เพียงเท่านั้น แต่อาจยืดยาว ยืนยาว ชนิดอาจนำไปสู่ “อวสานแห่งเงินดอลลาร์” อย่างที่ “นายJim Roger”นักลงทุนอเมริกันระดับตำนานได้ให้สัมภาษณ์กับ “Russian Business Daily” เอาไว้เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา ก่อนประกาศ “เทขาย” เงินดอลลาร์ที่อยู่ในพอร์ตของตัวเอง ชนิด “อตัมมยตา”หรือชนิด “กูไม่เอากับมึง...แล้วโว้ย”ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...
ส่วนนายกรัฐมนตรีหัวกระเซิงแห่งอังกฤษ...ก็คงไม่ต่างไปจากกันสักเท่าไหร่ เผลอๆ อาจหนักกว่าเอาเลยด้วยซ้ำ โดยเฉพาะหลังจากผลการเลือกตั้งซ่อม ในเขต “North Shropshire”ที่พรรครัฐบาลอย่างพรรคอนุรักษนิยม เคยครองเก้าอี้ต่อเนื่องมานานไม่น้อยกว่า 200 ปี ดันกลับแพ้ กลับพลาดท่า ให้กับพรรคการเมืองคู่แข่งไปซะนี่!!! ส่งผลให้สถานะ ตำแหน่ง ตบะบารมีในการเป็นหัวหน้าพรรค และเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษของ “นายบอริส จอห์นสัน” ง่อกๆ แง่กๆ ง่อนๆ แง่นๆ ยิ่งกว่านายกฯ “บิ๊กตู่”ของบ้านเรา ประมาณ 4-5 เท่า หรืออาจ 10 เท่าเอาเลยเห็นจะได้ ชนิดแทบไม่ต่อเสียเวลาให้ “ผู้กองแป้ง” ออกเรี่ยว ออกแรง ให้ต้องเสียเหงื่อ เสียแรงอก แต่อย่างใด โอกาสที่จะเปลี่ยนหัวหน้าพรรค และเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี ชักเริ่มมีความเป็นไปได้สูงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...
และเอาเข้าจริงๆ แล้ว...คงไม่ใช่แต่เฉพาะคุณพ่ออเมริกาหรือคุณพี่อังกฤษเท่านั้น แต่บรรดาประเทศที่รวยๆ ที่เคยครองโลกงำโลกมาโดยตลอด อย่างประเทศที่รู้จักกันในนาม “G7”ทั้งหลาย มาถึงทุกวันนี้ก็น่าจะ “กรอบเป็นข้าวเกรียบเมืองเพชร”ไปด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งปวง ยิ่งมาเจอกับการแพร่ระบาดของเชื้อเดลตาและโอมิครอนที่ไม่ไล่-ไม่เลิก หรือไล่ยังไงก็ไม่คิดจะเลิกเห็นว่า...เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา ภายใต้คำแถลงการณ์ของประเทศ G7 ถึงกับต้องใช้คำพูดต่อฉากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ถึงขั้นว่า ถือเป็น “The Biggest current threat to global public health” หรือเป็นภัยคุกคามทางสาธารณสุขที่หนักหนา-สาหัสที่สุดของโลก เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
สรุปเอาเป็นว่า...โลกช่วงนี้ มันคงไม่น่าจะมีอะไรบันเทิงเริงรมย์มากมายสักเท่าไหร่ เป็นโลกที่ใกล้จะถึงจุดเดือด จุดระเบิด หรือจุดที่เลย “ขีดจำกัด”ของแต่ละประเทศยิ่งเข้าไปทุกที และภายใต้ฉากสถานการณ์เช่นนี้นี่เอง ที่ถ้าหากแต่ละประเทศไม่อาจหันมาแสดงออกถึง “ความร่วมมือ-ร่วมใจ”ในการเอาชนะอุปสรรคต่างๆระหว่างกันและกันได้ โอกาสที่ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะเลยเถิด เลยธง เตลิดเปิดเปิงไปสู่ขั้นไหนต่อขั้นไหนก็ยังยากส์ส์ส์จะสรุปได้ แต่ยังไงๆ...มันคง “ดูไม่จืด” อยู่แล้วแน่ๆ!!!